กระแสการรักษ์ให้ความสำคัญการรักษาสิ่งแวดล้อมน่าจะเรียได้ว่ากำลังเป็นเมกะเทรนด์ของโลก ไม่เว้นแม้แต่ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ยังต้องหันกลับมาตระหนักให้ความสำคัญปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้สามารถอยู่เกาะไปกับเมกะเทรนด์ของโลกได้
ล่าสุด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ที่ล่าสุดประกาศร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ ทั้งบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI และบริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ ตั้งบริษัทร่วยมทุนขึ้นมาใหม่ คือ บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) ลงทุนโครงการโครงการผลิตและจัดจำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือ SAF จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหารเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย โดยโครงการนี้จะตั้งอยู่ในบริเวณโรงกลั่นน้ำมันบางจากปัจจุบันที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 64 แขวงพระโขนงใต้ เขตพระโขนง กรุงเทพ
โดย 'บางจาก' วางแผนกำลังการผลิตเริ่มต้นของการผลิตน้ำมัน SAF ไว้ที่ 1 ล้านลิตรต่อวัน คาดว่าจะผลิตออกมาพร้อมให้บริการอุตสาหกรรมการบิน ทั้งในและต่างประเทศในไตรมาส 4 ของปี 2567 (ค.ศ. 2024) ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเดินทางและขนส่งทางอากาศลงได้ราว 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
'ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช' ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากฯ อธิบายว่า บริษัทบางจากฯ กับ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI และบริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ ได้จับมือร่วมทุนจัดตั้งบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) ด้วยงบลงทุน 8,000-10,000 ล้านบาท ในสัดส่วนการลงทุนโดยบางจากฯ ถือหุ้น 51%, ธนโชค ออยล์ ไลท์ 29% และ บีบีจีไอ 20% เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF (Sustainable Aviation Fuel) จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหาร เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย
บริษัท บางจากฯ ผู้ดำเนินการโรงกลั่นน้ำมันบางจาก โรงกลั่นแบบ Complex Refinery ที่ทันสมัย เป็นผู้บุกเบิกการรับซื้อน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหารในครัวเรือนเพื่อผลิตไบโอดีเซล ในประเทศไทยเป็นรายแรก และมีความเชี่ยวชาญในการค้าน้ำมันผ่านบริษัท BCP Trading จำกัด หรือ BCPT ปัจจุบันเป็นผู้ค้าน้ำมันอิสระอันดับหนึ่งในตลาดสิงคโปร์ ส่วน บริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ฯ ผู้มีประสบการณ์ในการจัดหาวัตถุดิบอย่างน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหารมายาวนาน และ บริษัท บีบีจีไอฯ ผู้นำอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง
BSGF จะเริ่มดำเนินธุรกิจด้วยการก่อสร้างหน่วยผลิต SAF จากน้ำมันใช้แล้วจากการทำอาหาร (Used Cooking Oil) ภายในบริเวณโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ช่วงปลายปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 ล้านลิตรต่อวัน เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนที่อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกสามารถนำมาใช้ทดแทนได้ทันทีโดยไม่ส่งผลต่อเครื่องยนต์ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมการบินลงได้ประมาณ 80,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
แผนของ BSGF พร้อมขยายเพิ่มกำลังการผลิตรองรับความต้องการใช้ SAF ในอนาคต ตามแนวโน้มความต้องการใช้ SAF ทั่วโลก สอดคล้องกับข้อกำหนดในสหภาพยุโรปที่กำหนดสัดส่วนการผสม SAF ในน้ำมันอากาศยานที่จะบินเข้าสู่สนามบินในสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (จากการลงมติของสมาชิกสภายุโรป เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กำหนดไว้ที่ 2% ในปีค.ศ. 2025 และเพิ่มขึ้นเป็น 6%, 37% และ 85% ในปีค.ศ. 2030, 2040 และ 2050 ตามลำดับ)
อีกทั้งสอดคล้องกับมาตรการขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) และสมาคมการบินระหว่างประเทศ (International Air Transport Association: IATA) ที่ให้การสนับสนุน เพื่อให้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2593”
นอกจากนี้ยังเป็นตามแผน BCP 316 NET ของกลุ่มบางจาก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปีค.ศ. 2050 และร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้า Net Zero ในปี ค.ศ. 2065
ฝั่งพาร์ทเนอร์อีกราย คือ บริษัท ธนโชค ออยล์ ไลท์ โดย 'ธนวัฒน์ ลินจงสุบงกช' ในฐานะกรรมการผู้จัดการ ให้มูลเพิ่มเติมของโครงการ SAF ว่า บริษัท ธนโชคฯ มีความมั่นใจในการร่วมทุนครั้งนี้ ด้วยศักยภาพของกลุ่มบริษัทบางจาก ที่มีนโยบายให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงานควบคู่ไปกับดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมมาโดยตลอด สอดคล้องกับพันธกิจของธนโชคฯ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันใช้แล้ว
โดยมีการลงพื้นที่จัดเก็บในชุมชน ป้องกันการนำกลับไปใช้ซ้ำหรือระบายทิ้งลงในพื้นที่สาธารณะหรือแหล่งน้ำต่าง ๆโดยในปัจจุบัน กลุ่มธนโชคฯ มีเครือข่ายการเก็บรวบรวมน้ำมันใช้แล้วครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยศักยภาพการจัดเก็บและรวบรวมน้ำมันใช้แล้วประมาณ 17 ล้านลิตรต่อเดือน