มั่นใจว่า ธุรกรรมครั้งนี้จะสามารถสร้าง synergy จากศักยภาพที่เกื้อหนุนกัน ช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ทำให้ประชาชนคนไทยเข้าถึงแหล่งพลังงานได้ดีขึ้น และยังช่วยให้มีกำไร (EBITDA) เพิ่มขึ้นในประเทศอีกนับพันล้านบาทต่อปี
ดีลประวัติศาสตร์ด้านพลังงงาน เมื่อบางจากซื้อกิจการเอสโซ่ มูลค่าราว 34,000 ล้านบาท คาดคืนทุนภายใน 5 ปี ใช้เงินกู้เพียง 17,000 บาท D/E 1.3 เท่า เตรียมทยอยเปลี่ยนเป็นแบรนด์ “บางจาก” 280 แห่งภายในสิ้นปีนี้ พร้อมเตรียมเปลี่ยนชื่อ “เอสโซ่” ยันยังไม่ถอนหุ้น “เอสโซ่” ออกจากตลาดหลักทรัพย์ภายใน 1 ปี
“ มั่นใจว่า ธุรกรรมครั้งนี้จะสามารถสร้าง synergy จากศักยภาพที่เกื้อหนุนกัน ช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ทำให้ประชาชนคนไทยเข้าถึงแหล่งพลังงานได้ดีขึ้น และยังช่วยให้มีกำไร (EBITDA) เพิ่มขึ้นในประเทศอีกนับพันล้านบาทต่อปี” นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวแถลงข่าว
บางจากคาดว่าจะใช้เงินในการซื้อกิจการทั้งหมดไม่เกิน 34,000 ล้านบาท เป็นเงินของบริษัท 17,000 ล้านบาท และเงินกู้จากธนาคาร 17,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ไม่เกิน 1.3 เท่า ซึ่งในวันนี้ได้มีการชำระเงินค่าหุ้นในส่วนของ 65.99% ไปแล้วราว 22,606 ล้านบาท เป็นเงินบริษัท 17,000 ล้านบาท ใช้เงินกู้เพียง 5,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือที่จะรับซื้อหุ้น 34.01% ได้มีวงเงินกู้ไว้รองรับเรียบร้อย ซึ่งวงเงินกู้จากธนาคาร มีอัตราดอกเบี้ยไม่สูงมากนัก ประมาณ 4% ต่อปี
ขณะนี้บริษัทได้มีการหารือถึงชื่อใหม่ของ “เอสโซ่” ไว้แล้ว เบื้องต้นก็จะมีคำว่า “บางจาก” ที่จะบ่งบอกความเป็นบางจาก ซึ่งคาดว่าจะเปลี่ยนชื่อใหม่ได้ภายในเดือนพ.ย.นี้
ต่อจากนี้อยู่ระหว่างการรับซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอีก 34.01% ซึ่งแบรนด์ “เอสโซ่” ตามเงื่อนไขยังสามารถอยู่ได้ 2 ปี และภายใน 1 ปีนี้ ยังไม่มีแผนถอนหุ้น “เอสโซ่” ออกจากตลาดหุ้นไทยแต่อย่างใด
นับเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญสำหรับทั้งอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศและบริษัท ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เสริมสร้างจุดยืนที่แข็งแกร่งด้านธุรกิจพลังงานระดับประเทศและระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ บริษัทจะเข้าดำเนินการโรงกลั่นน้ำมันขนาดกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 800 แห่งได้ทันที ทำให้กลุ่มบริษัทบางจากจะมีกำลังการกลั่นน้ำมันสูงสุดในประเทศรวมเกือบ 300,000 บาร์เรลต่อวันจาก
โดยบางจากจะมีโรงกลั่นน้ำมันมาตรฐานระดับโลก 2 แห่ง คือโรงกลั่นบางจาก พระโขนง และโรงกลั่นบางจาก ศรีราชา สามารถดำเนินธุรกิจได้ครบวงจรมากขึ้น ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกันของโรงกลั่นทั้งสอง เพิ่มความหลากหลายในการจัดหาน้ำมันดิบ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหาและขนส่งน้ำมันดิบร่วมกัน เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดและปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่น รวมถึงสามารถใช้ประโยชน์จากแผนบำรุงรักษาโรงกลั่นร่วมกัน
บางจากตั้งเป้ายอดขายจะเติบโตแตะ 5 แสนล้านบาทภายในปี 2567 จากปีนี้ที่มียอดขายราว 3.8 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเข้าซื้อกิจการเอสโซ่ มูลค่ารวม 5.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าสามารถคืนทุนได้ภายใน 5 ปีข้างหน้า
นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า งบลงทุนบางจากยังคงงบลงทุน 5 ปีนี้ (2566-70) อยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ภายในปี 2566 กว่า 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุน ดังนี้
ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างรอประเมินสินทรัพย์ ณ สิ้นวันที่ 31 ส.ค.ให้แล้วเสร็จ ซึ่งหากจะมีการบันทึกผลกำไรพิเศษจะเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงเดียว
แต่นับตั้งแต่กลางเดือนก.ย.นี้จะเริ่มทยอยเปลี่ยนชื่อปั้ม “เอสโซ่” เป็น “บางจาก” ในส่วนของการเป็นเจ้าของ จำนวน 280 แห่ง และคาดว่าจะเปลี่ยนแบรนด์แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
ส่วนที่เหลือกว่า 500 สาขา เป็นของดีลเลอร์ ซึ่งบางจากคงไปเจรจาขอให้เปลี่ยนเป็นแบรนด์ “บางจาก” ทั้งหมด ส่วนปั้มน้ำมันของ “บางจาก” กับ “เอสโซ่” เดิมที่อยู่ใกล้กันนั้น นายชัยวัฒน์ มองว่า “ยิ่งมีปั้มสาขาเยอะ แม้ใกล้กัน แต่มีคนเห็นมากขึ้น โอกาสที่จะมีลูกค้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น เปรียบเสมือนตู้เอทีเอ็ม หรือร้านค้าปลีก”
การเข้าซื้อกิจการเอสโซ่ในครั้งนี้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจค้าปลีกน้ำของบางจาก ขึ้นมาอยู่ที่ 30% จากเดิมประมาณ 16% ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 รองจาก ปตท. จากเดิมที่อยู่อันดับ 3 รองมาจาก ปั้มน้ำมัน PT
อันดับ 1 ปั้มปตท. มีส่วนแบ่งการตลาด อยู่ที่ 40%
อันดับ 2 ปั้มบางจาก ส่วนแบ่งการตลาด อยู่ที่ 30%
อันดับ 3 ปั้ม PT ส่วนแบ่งการตลาดราว อยู่ที่ 16%
สำหรับการให้บริการด้านการตลาดจะครอบคลุมและนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นผ่านเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศรวมกว่า 2,200 แห่ง
โดยเครือข่ายสถานีบริการของเอสโซ่ ผลิตภัณฑ์และน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน จะเข้ามาเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์บางจาก สร้างโอกาสในการพัฒนาสถานีบริการให้สอดคล้องกัน ส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงน้ำมันบางจากได้มากขึ้น
ถือว่ามีความสำคัญต่อภาพรวมของธุรกิจพลังงานในประเทศไทยด้วย
ทั้งนี้ สถานีบริการของเอสโซ่จะเริ่มทยอยเปลี่ยนป้ายเป็นสถานีบริการบางจากภายใน 2 ปี โดยน้ำมันที่จำหน่ายในสถานีบริการเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันคุณภาพสูงจากโรงกลั่นน้ำมันมาตรฐานระดับโลกทั้ง 2 แห่งของกลุ่มบริษัทบางจาก น้ำมันทุกชนิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้รับการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานของกรมธุรกิจพลังงาน
นอกจากนี้ น้ำมันเกรดพรีเมียมของบางจากทั้งแก๊สโซฮอล์และดีเซล ยังได้มาตรฐานยูโร 5 และมีค่าออกเทนและซีเทนสูงกว่าค่ามาตรฐานของกรมธุรกิจพลังงาน
ลูกค้าเอสโซ่ซึ่งเป็นสมาชิกบัตรเอสโซ่สไมลส์ยังสามารถสะสมคะแนนและแลกคะแนน เอสโซ่สไมล์ได้อีก 1 ปีจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ภายใต้บัตรเดิม หรือสามารถโอนคะแนนสะสมมาเป็นสมาชิกบางจากกรีนไมลส์
โดยจะได้รับคะแนนโบนัสพิเศษเพิ่ม 100 คะแนน หากทำการโอนย้ายคะแนนภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566
ทั้งนี้ สำหรับสมาชิกบัตรบางจากกรีนไมลส์ นอกจากจะสามารถนำคะแนนสะสมจากการเติมน้ำมันและซื้อสินค้าในเครือบางจากฯ มาใช้เป็นส่วนลดหรือทำประโยชน์อื่นๆ ตามไลฟ์สไตล์ของตนแล้ว ยังสามารถรับส่วนต่างราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นคืนเป็นคะแนนพิเศษเพิ่มเมื่อเติมน้ำมันในวันแรกที่ปรับขึ้นราคา และยังร่วมบริจาคเงินจากการสะสมคะแนนให้กับองค์กรสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ ที่บางจากฯ ดำเนินมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 เพื่อร่วมกันช่วยทำให้สังคมไทยน่าอยู่อย่างยั่งยืนด้วย
“วันนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ต้อนรับพนักงาน ผู้ประกอบการและลูกค้ารายใหม่จากเอสโซ่สู่ครอบครัวบางจาก ซึ่งการรวมทีมงานคุณภาพของทั้งสองบริษัทจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความสามารถในการดำเนินการตามแผนขยายธุรกิจของบริษัทฯ ให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น” นายชัยวัฒน์กล่าว
พร้อมเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ “Greenovative Experience” ผ่านช่องทางการให้บริการที่ขยายเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เป็นการผสานสองพลังที่ยิ่งใหญ่ Together To Greater เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ลูกค้า ไม่เพียงส่งผลดีต่อธุรกิจของกลุ่มบริษัทบางจาก เท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อภาพรวมของธุรกิจพลังงานในประเทศไทยด้วย