นโยบายภาษีตอบโต้ของโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ตลาดการเงินของโลกปั่นป่วนโดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงต่างปรับตัวลงแรงโดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯและจีน อย่างไรก็ตามยังมีสินทรัพย์ที่สามารถ Outperform ปรับตัวลงน้อยกว่าภาพรวมตลาดนั่นคือทองคำและบิทคอยน์
การปรับตัวลงของสองสินทรัพย์มาจากการปรับพอร์ต ลดสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนสถาบัน แต่ในเชิงพื้นฐาน ทั้งทองคำและบิทคอยน์ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายภาษีตอบโต้ต่างจากตลาดหุ้นที่อาจกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงมีโอกาสสูงที่นักลงทุนสถาบันจะปรับพอร์ตย้ายเงินออกจากตลาดหุ้นมาลงทุนในบิทคอยน์
นอกจากนี้บิทคอยน์ยังมีปัจจัยบวกที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาสสองนี้
ข้อแรก..ก.ล.ต.สหรัฐฯ ได้ตัวประธานคนใหม่ Paul Atkins มานั่งทำงานแล้วซึ่งจะสานต่องานที่คณะทำงานได้ทำได้ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านคริปโตของสหรัฐฯให้เป็นเชิงบวกด้วยการอนุมัติให้เป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ ประกอบกับความชัดเจนในวิธีการจัดหาเงินทุนเพื่อซื้อบิทคอยน์ใหม่เข้ามาอยู่ในกองทุนสำรองเชิงกลยุทธ์น่าจะมีความชัดเจน
ประกอบกับกฎหมายเกี่ยวกับ Stablecoins โดยสหรัฐฯน่าจะได้รับการอนุมัติภายในไตรมาสสองนี้ การเริ่มใช้กฎหมายด้านคริปโตอย่างเป็นรูปธรรมน่าจะมีส่วนผลักดันราคาบิทคอยน์ได้อย่างมาก
ข้อสอง..แนวโน้มนโยบายการเงินเริ่มที่จะผ่อนคลายมากขึ้น โดยการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาลดลงมากกว่าที่คาดไว้มาอยู่ที่ 2.4% ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2% และตลาดยังคาดการณ์ผ่าน FED Watch Tool ล่าสุดด้วยว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเดือนพฤษภาคมนี้มีโอกาส 57% ที่จะลดดอกเบี้ย 0.25% จากเดิมที่ FED วางแผนจะลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะมีส่วนในการผลักดันราคาบิทคอยน์ ล่าสุดดัชนี Dollar Index ปรับตัวลงมาระดับใกล้เคียง 100 จุด ซึ่งตามสถิติถ้า DXY ต่ำกว่าระดับดังกล่าวหรือค่าเงินดอลลาร์มีการอ่อนค่าลงต่อเนื่องราคาบิทคอยน์จะสามารถทำผลตอบแทนได้อย่างดี
ข้อสาม..คุณสมบัติของบิทคอยน์ที่สามารถเป็นได้ทั้ง Store Of Value หรือสินทรัพย์ที่สามารถกักเก็บมูลค่าได้เช่นเดียวกับทองคำแต่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ถ้าหากเงินเฟ้อของสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้นจากต้นทุนราคาสินค้าที่สูงขึ้นตามภาษีศุลกากรที่จัดเก็บมากขึ้น มีโอกาสที่นักลงทุนสถาบันจะปรับพอร์ตหันมาลงทุนในบิทคอยน์เพื่อที่จะเอาชนะเงินเฟ้อได้เช่นกัน
นอกจากนี้บิทคอยน์ยังมีคุณสมบัติของการเป็น Growth Asset หรือสินทรัพย์เติบโตแบบเดียวกับหุ้นเทคโนโลยีอย่างเช่นหุ้นในตลาด Nasdaq ถ้าหากนโยบายการเงินผ่อนคลายลงและแต่ละประเทศสามารถแก้ไขปัญหาภาษีตอบโต้ได้ บิทคอยน์จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาพร้อมกับหุ้นเทคโนโลยี โดยค่าความสัมพันธ์ระหว่างบิทคอยน์และดัชนี Nasdaq อยู่ในระดับสูงถึง 0.70% ถ้าหากหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น บิทคอยน์ก็จะปรับตัวขึ้นในทางเดียวกัน
จากสถิติในอดีต หลังเกิด Halving ไปแล้ว 500 วันราคาบิทคอยน์จะสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ แม้ว่าในไซเคิลนี้ความเคลื่อนไหวของบิทคอยน์จะเปลี่ยนแปลงไปต่างจากในอดีตเพราะต้องเจอกับรอบปรับฐานบ่อยครั้งขึ้น แต่พื้นฐานของบิทคอยน์ในไซเคิลนี้ดีขึ้นจากในอดีตโดยเฉพาะการมาของนักลงทุนสถาบันที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันราคา
การเข้ามาของนักลงทุนสถาบันยังทำให้รูปแบบของราคาเปลี่ยนแปลงไป มีความเป็นไปได้ว่าจุดสูงสุดของไซเคิลอาจจะยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้แต่อาจจะใช้เวลาในการเป็นขาขึ้นที่ยาวนานขึ้นก็เป็นไปได้ ช่วงไตรมาสสองนี้จึงเป็นโอกาสในการทะยอยสะสมบิทคอยน์ในระยะกลางถึงยาว
อย่างไรก็ตามบิทคอยน์ยังมีความเสี่ยงถ้าหากการเจรจาภาษีตอบโต้โดยเฉพาะกับประเทศจีนไม่มีความคืบหน้าเชิงบวกอาจทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงที่คาดไม่ถึงหรือ Blackswan ขึ้นกับตลาดการเงินจนอาจทำให้ราคามีความผันผวนด้วยเช่นกัน นักลงทุนจำเป็นต้องมีการบริหารเงินในพอร์ตอย่างดี แม้ว่าราคายังอยู่ในระดับที่ไม่แพงเกินไป แต่ในช่วงสั้นนี้ควรจัดสรรเงินลงทุนเพียง 20-30% ของพอร์ตเพื่อรองรับความเสี่ยง
ประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ บริษัท เมตาที จำกัด และ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย