ล่าสุด ธอส.และออมสิน ก็ออกมาขานรับนโยบายเช่นเดียวกัน แต่เป็นนโยบายรัฐบาลที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในยามดอกเบี้ยแพง ค่าครองชีพสูง ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้
โดยนายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการธนาคาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผยว่า ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีพันธกิจ "ทำให้คนไทยมีบ้าน" พร้อมตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ในระดับปัจจุบันต่อไปจนถึงสิ้นปี 2566
ทั้งนี้ เพื่อจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการชำระเงินงวดตามนโยบายรัฐบาลให้กับลูกค้าเงินกู้ในปัจจุบันของธนาคารที่มีอยู่จำนวน 1.79 ล้านบัญชี คิดเป็นวงเงินสินเชื่อคงค้างมากกว่า 1.66 ล้านล้านบาท และได้มีเวลาในการปรับตัวรับกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือประชาชน และมุ่งผลักดันเศรษฐกิจฟื้นตัวนั้น แม้ว่าคณะกรรมการ นโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จากเดิม 2.25% ต่อปี เป็น 2.50% ต่อปี มีผลเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 ที่ผ่านมานั้น
“ ธนาคารออมสินประกาศยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ โดยจะตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทให้นานที่สุด ได้แก่ อัตราดอกเบี้ย MLR MRR และ MOR ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อธนาคารออมสินทุกประเภท จำนวนกว่า 5.6 ล้านบัญชี ทั้งที่เป็นลูกค้ารายย่อย กลุ่มฐานราก ผู้ประกอบการทั้ง SMEs และธุรกิจขนาดใหญ่ สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ธนาคารจะพิจารณาปรับขึ้นตามสภาวการณ์ที่เหมาะสมและทิศทางของตลาดอีกครั้ง” นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าว
นับเป็นธนาคารของรัฐที่เข้ามาช่วยเหลือดูแลประชาชน โดยเฉพาะประชาชนระดับกลางถึงระดับรากหญ้า ที่มีรายได้ไม่สูงมากนัก แต่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง หรือมีสินเชื่อสำหรับประกอบอาชีพ ที่เพียงแค่ 2 ธนาคารรวมกันก็สามารถดูแลและช่วยประคับประคองให้ลูกหนี้เดินหน้าต่อไปได้ถึง 7.35 ล้านบัญชีเลยทีเดียว
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เผยว่า จะตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา Prime Rate 6.75% ต่อปี จนถึงสิ้นปี 2566 เพื่อเป็นการช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระผู้ประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว
“EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ มุ่งมั่นดำเนินบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (Thailand Development Bank) ยืนยันจุดยืนช่วยเหลือลูกค้าทั่วไป และผู้ประกอบการ SMEs ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้” ดร.รักษ์ กล่าว
รวมทั้ง เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และเครื่องมือทางการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ภาคธุรกิจสามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้ สร้างรายได้ กระตุ้นการจ้างงาน ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของชุมชนและประเทศไทย ตลอดจนต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น