Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เมื่อ AI พูดได้ อนาคตการลงทุนย่อมเฉียบคม
โดย : ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

เมื่อ AI พูดได้ อนาคตการลงทุนย่อมเฉียบคม

3 มิ.ย. 67
09:02 น.
|
785
แชร์

Highlight

ไฮไลต์

  • AI เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยมีการลงทุนมากกว่า 91.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2030

  •  หุ้นเทคฯ ต่างๆ กระจายธุรกิจมุ่งสู่ถนน AI กันทั้งนั้น เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตให้กับองค์กร  โอกาสการลงทุนหุ้นเทคฯ ที่ทรงอิทธิพลของโลก ยังไปต่อได้

  • ปัจจุบัน การใช้ AI ในโลกการลงทุนมี 2 แบบ คือ แบบแรก การพัฒนา AI ให้ช่วยวิเคราะห์การลงทุน และให้มนุษย์ตัดสินใจอีกที และแบบที่ 2 การพัฒนา AI ให้ทำงานทั้งวิเคราะห์และการซื้อขายแบบเบ็ดเสร็จเลย ซึ่งต้องบอกว่า ตลาดหุ้นอเมริกามีการใช้ AI ในการลงทุนทั้ง 2 แบบนี้ สัดส่วนรวมกันประมาณ 70% ของวอลุ่มทั้งตลาด

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณสุทธิชัย หยุ่น เกี่ยวกับเรื่องบทบาทของ AI หรือ ArtificiaI Intelligence ที่เข้ามาเปลี่ยนโลกจริงๆ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับหลายอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องและเด่นชัดมากขึ้น และมีบางช่วงบางตอนของคำถามที่ผมกลับมาคิดและอยากนำมาแบ่งปันต่อครับ

เราได้พูดคุยกันถึงธุรกิจการเงินการลงทุนที่ AI ก็ได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์การลงทุนทั่วโลกเช่นเดียวกัน เราควรจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไรบนโลกที่มีความผันผวน 

ผมมองย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นยุคสมัยแห่งปัญญาประดิษฐ์ เกิดขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้นมาไหม่ และก้าวล้ำมาถึงจุดที่ AI ได้ถูกยกระดับให้เทียบเท่าสมองกลของมนุษย์ จนได้รับการยอมรับให้เป็นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งที่เลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ ความเป็นหุ่นยนต์ที่มีความสามารถเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับการทำงานของมนุษย์ได้ ที่สำคัญ AI ทรงพลังมากๆสามารถทำงานไม่มีเหน็ดเหนื่อยไม่มีอารมณ์เหมือนคนทั่วไปครับ

นับวัน บทบาทของ AI ได้ถูกนำมาผสมผสานกับชีวิตเรา จนหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลายคนก็มีคำถามในใจว่า วันนี้ AI ยังเป็นขาขึ้นแล้ว อนาคตโลกแห่ง AI จะไปสิ้นสุดตรงไหน หรือถ้ายังไปต่อจะได้ยาวๆอีกซักแค่ไหนกัน สำหรับผมคงไม่มีคำตอบหรือความสามารถที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าได้แน่นอน

แต่สิ่งที่ผมทำได้และได้ทำแล้ว นั่นก็ คือ การใช้ประโยชน์จาก AI ในการเพิ่มศักยภาพและโอกาสการลงทุนมากกว่าครับ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นที่พอใจสำหรับผมและลูกค้าผมอย่างมากๆเลย เรามาดูกันครับ

เมื่อ AI พูดได้ อนาคตการลงทุนย่อมเฉียบคม

เทรนด์ AI เติบโตเร็วที่สุดในโลก คาดมูลค่าลงทุน 200 พันล้านดอลลาร์/ปี

AI เป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทเทคฯ ทั่วโลกต่างชูธงมุ่งสู่ถนนเทคโนโลยี AI เพื่อตอบโจทย์ภาคธุรกิจสำหรับใช้พัฒนาสินค้าและบริการ มุ่งยกระดับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคทั่วโลกให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐประเทศต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่รัฐบาลไทยเองก็วางยุทธศาสตร์ใช้ AI ผ่านโครงการต่างๆ ช่วยเพิ่มศักยภาพในการบริหารประเทศ สร้างผลิตภาพให้เกิดเต็มเม็ดเต็มหน่วยคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า AI เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยมีการลงทุนมากกว่า 91.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2030

ข้อมูลจาก Global Newswire ประเมินไว้ว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยียังคงโดดเด่นอยางต่อเนื่องในระยะยาว โดยคาดว่ามูลค่าตลาดของกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลกมีโอกาสขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงปีละ 36.8% จนถึงปี 2032

เทรนด์การลงทุนหุ้นเมกะเทรนด์ AI ยังคงร้อนแรงมาต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ ด้วยพลัง AI ที่เป็นโมเมนตัมขับเคลื่อนให้ภาคธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างผลประกอบการออกมาได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทเทคฯ ทั่วโลกที่ยังโชว์ผลงานธุรกิจเติบโตมีอนาคต

หากส่องดูบริษัทดาวเด่นด้าน AI หลายๆ แห่ง นำโดยบริษัทยักษ์โลก ‘Nvidia’ ที่เปิดผลประกอบการประจำไตรมาสแรกปีนี้ มีรายได้รวม 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 265% กำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้น 768% หุ้น Nvidia เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากธุรกิจเติบโตตามกระแสความต้องการชิปขั้นสูงสำหรับประมวลผล AI นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์ต่างๆ ที่ต่อยอดจาก AI กว่า 8 โปรเจกต์ เช่น หุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI, GR00T โปรเจกต์สร้างหุ่นยนต?ฮิวแมนนอยด์ และล่าสุด Blackwell ชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลก จึงไม่ต้องแปลกใจที่ราคาหุ้นจะพุ่งขึ้นมากถึง 78% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) และเพิ่มขึ้น 194%ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

ส่วนไมโครชอฟท์ รายได้เติบโตและกำไรที่เติบโตดีเช่นกัน เป็นผลมาจากธุรกิจ Cloud Computing ที่ขยายตัวได้ตามความต้องการใช้งาน AI เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจดังกล่าวโต 31% YoY ขณะที่รายได้ธุรกิจหลักและรายได้จากธุรกิจเกมเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ Microsoft ยังมีแผนจะลงทุนกับ AI มากขึ้นเพื่อรองรับผู้ใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น และเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้

บริษัท Alphabet ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google โชว์ไตรมาสแรกปีนี้ รายได้โตสูงกว่าที่ตลาดคาด และกำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้น +57% นอกจากที่รายได้หลักจากโฆษณากลับมาฟื้นตัวได้ดี รวมถึงYouTube ที่ทำได้สูงกว่าที่ตลาดคาด รายได้ธุรกิจ Cloud ก็ทำออกมาได้สูงกว่าที่คาด พร้อมเดินหน้าลงทุนเพิ่มในเทคโนโลยี AI และฟีเจอร์ generative AI มาใช้ในการช่วยค้นหาต่างๆ ของ Google อีกด้วย

มาดู Meta ของ Facebook ไตรมาสแรกทำรายได้เติบโตสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564 ด้านกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า โดยรายได้หลักจากโฆษณาที่เพิ่มขึ้นสูงและจำนวนผู้ใช้งานรายวันของทุกแพลตฟอร์มก็ขยายตัว และแน่นอน Mark Zuckerberg ซีอีโอของบริษัท ประกาศทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันไปกับเมตาเวิร์สและ AI แม้ว่าจะยังไม่สามารถทำรายได้ก็ตามที

คุณเห็นเหมือนผมใช่มั้ยครับ หุ้นเทคฯ ต่างๆ กระจายธุรกิจมุ่งสู่ถนน AI กันทั้งนั้น เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตให้กับองค์กร และที่สำคัญราคาหุ้นที่หลายคนกลัวว่าปรับตัวขึ้นแรงในปีที่แล้ว จะแพงไป แต่ทว่า เมื่อใดที่ราคาหุ้นเหล่านี้ตกลงมา ก็ยังมีแรงซื้อกลับเช่นกัน สะท้อนถึงความต้องการลงทุนหุ้นกลุ่มเทคฯ ที่ยังไม่แผ่วลงครับ

หุ้นกลุ่มเทคฯ เข้ามาจุดพลุให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วิ่งทำนิวไฮใหม่ในปีนี้ หลังจากที่ปีที่แล้ว ได้แรงส่งจากหุ้น 7 นางฟ้า หรือ Magnificent 7 ที่ทรงอิทธิพลมากสุด วิ่งยกแผงสร้างผลตอบแทนให้กลุ่มเทคฯ พุ่งขึ้นไปกว่า 40% และตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นราว 43% นับเป็นปีที่ดีที่สุดของหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ หลังจากที่ปี 2565 ได้ปรับตัวลดลงมาราว 33%

ทุกวันนี้ นักลงทุนทั่วโลกยังให้น้ำหนักกับการลงทุนหุ้นเทคฯกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเชื่อมั่นต่ออนาคตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เติบโตได้อีกไกล

ใครที่คิดว่า ตัวเองจะตกขบวนรถไฟ ผมต้องขอบอกว่า โอกาสการลงทุนหุ้นเทคฯ ที่ทรงอิทธิพลของโลก ยังไปต่อได้ครับ เพียงแต่คุณต้องมองหาบริษัทเทคฯ ขนาดกลางขนาดเล็กที่มีผลประกอบการโดดเด่นและธุรกิจยังเติบโตในระยะยาว ส่วนราคาหุ้นก็ไม่แพงมากเท่าหุ้นเทคฯ ใหญ่หลายๆตัว ซึ่งหากคุณจะมองหาข้อมูลการลงทุนในหุ้นเทคฯ ที่ยังลงทุนได้ ผมแนะนำให้เข้าไปเลือกดูหุ้นคุณภาพที่ผ่านการคัดกรองของ AI ได้ใน Jitta.com ซึ่งเป็นคลังข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกครอบคลุมหุ้น 90%ทั่วโลก

ช่วงที่ผ่านมา Jitta Ranking หุ้นเทคฯ สหรัฐฯ สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างดีงาม ​โดยผลตอบแทนเฉลี่ย +14.50% ต่อปี ชนะดัชนี S&P 500 TRI +12.03% ส่วน Jitta Ranking หุ้นเทคฯ จีน ผลตอบแทนเฉลี่ย +13.34% ต่อปี ชนะดัชนี CSI300 TR +6.32% นักลงทุนต่างแฮปปี้กับผลตอบแทนดีๆ ตามที่เห็นกันครับ ซึ่งระหว่างทางก็จะเผชิญกับความผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ในแต่ละปีครับ แต่หากึคุณถือลงทุนระยะยาวตัวเลขก็จะบวกๆ ในพอร์ตแบบนี้ครับ

วัดฝีมือ AI ช่วยบริหารเงินลงทุน สร้างผลตอบแทน

ผมถูกถามเยอะมากว่า ทำไมผมเชิญชวนให้ทุกคนเข้าไปเลือกหาของหุ้นคุณภาพใน Jitta.com ซึ่งเรื่องนี้ก็มีคำถามคาใจกันมากๆคุณสุทธิชัยก็ยังถามผมเช่นกันว่า การลงทุนด้วย AI มันจะไปเส้นทางเดียวกันกับการใช้วิจารณญาณการลงทุนของผู้จัดการกองทุนหรือไม่ และอนาคตจากนี้ไป AI จะมีบทบาทอย่างไรในการบริหารการลงทุนของบลจ. จิตตะ เวลธ์ด้วยครับ

ผมขอฉายภาพ 2 ส่วน คือบทบาทของอัลกอริทึม AI ในโลกการลงทุน และในส่วนของจิตตะที่มีพัฒนา AI เพื่อการลงทุนอย่างไรในตลอดช่วงอายุ 12 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งจิตตะขึ้นมาครับ

จริงๆ ทั่วโลกมีการใช้ AI ในการลงทุนมา 5 ปีแล้วครับ แต่คนไทยเพิ่งมาตื่นกับกระแส AI ช่วยการลงทุนเมื่อปีสองปีมานี้ โดยบริษัทจัดการกองทุนต่างๆ มีการพัฒนา AI อัลกอทึมในการบริหารกองทุนมากขึ้นอย่างชัดเจน เฮดจ์ฟันด์ทั้งหลายได้จ้างงานพวกโปรแกรมเมอร์เก่งๆ จาก Google, Facebook มาร่วมงาน เพราะเขารู้ว่าในโลกการลงทุนมีการวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล จะสามารถทำให้ผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว จึงให้โปรแกรมเมอร์ไปถอดความคิดของผู้บริหารกองทุนเก่งๆ มาพัฒนา AI อัลกอริทึมให้ตอบโจทย์การลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่ดี

ปัจจุบัน การใช้ AI ในโลกการลงทุนมี 2 แบบ คือ

  1. แบบแรก การพัฒนา AI ให้ช่วยวิเคราะห์การลงทุน และให้มนุษย์ตัดสินใจอีกที
  2. แบบที่ 2 การพัฒนา AI ให้ทำงานทั้งวิเคราะห์และการซื้อขายแบบเบ็ดเสร็จเลย ซึ่งต้องบอกว่า ตลาดหุ้นอเมริกามีการใช้ AI ในการลงทุนทั้ง 2 แบบนี้ สัดส่วนรวมกันประมาณ 70% ของวอลุ่มทั้งตลาด เรียกได้ว่า ตอนนี้เป็น AI จัดการมากกว่ามนุษย์ลงทุนแล้วครับ

สาเหตุที่ผู้จัดการกองทุนหันมาใช้ AI ช่วยในการลงทุน เพราะ AI มี 2 สิ่งที่เหนือกว่าใช้คนเทรด อย่างแรกคือ AI มีความสามารถในการวิเคราะห์ที่แม่นยำกว่าคน เพราะสามารถดึงข้อมูลต่างๆ จำนวนมหาศาลทำการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ฟันด์โฟลรวมไปถึงปัจจัยเทคนิค​ 

และ 2 AI มีวินัยในการส่งคำสั่งซื้อขายให้รวดเร็วเพื่อให้เป็นไปตามแผนการ เพราะ AI เป็น Zero Bias ครับ จะไม่มีปัญหาเรื่องอารมณ์หรือมีอคติเหมือนคน ผมยืนยันว่า AI ทำได้ดีกว่าคนชัวร์ๆ เพราะ เมื่อบอก AI ให้ซื้อก็ซื้อเลย แต่ถ้าเป็นคนส่งคำสั่งซื้อขาย แม้จะเก่งในการวิเคราะห์ทำได้ดีกว่า AI หรือจะใช้ AI ช่วยในการวิเคราะห์ พบว่าส่วนใหญ่จะไปตกม้าตายตอนส่งคำสั่งซื้อขายกัน เพราะคนมักจะมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเช่น บางทีก็ยังไม่กล้าส่งคำสั่ง บางครั้งก็ส่งคำสั่งช้าเกินไป การใช้คนเทรดจะแพ้การซื้อขายแบบAI

ผมขอพูดถึงพัฒนาการ AI ในการลงทุนของจิตตะ ที่เติบโตผ่านร้อนผ่านหนาวมาหนักมากครับ ด้วยโครงสร้างธุรกิจมี 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นจิตตะ ก็คือ ตัว “jitta.com” ที่มีการใช้ AI ในการวิเคราะห์เชิงลึกตัวหุ้นบอกตัวไหนถูกตัวไหนแพง โดยเริ่มจากใช้ Jitta Intel อัลกอริทึม AI เพื่อการลงทุน ท่ามกลางการวิเคราะห์และประมวลผล ข้อมูลกว่า 1,000 ล้านชุดข้อมูลต่อวัน วิเคราะห์หุ้นกว่า 48,000 หุ้น ครอบคลุมหุ้น 90% ทั่วโลก เพื่อหาหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดของแต่ละตลาด (Jitta Ranking) ตามหลักการลงทุนเน้นคุณค่า หรือสาย VI ซึ่ง AI จะวิเคราะห์เชิงลึกบอกหุ้นดี ราคาถูก น่าลงทุน เพื่อให้นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อยู่แล้ว จนถึงวันนี้มีอายุ 12 ปีแล้วครับ

และส่วนที่สอง คือ บลจ. จิตตะ เวลธ์ ให้บริการการลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นมาในปลายปี 2562 โดยผมตั้งใจจะต่อยอดการใช้งาน AI จากจิตตะ เพื่อนำมาใช้กับกองทุนส่วนบุคคล แต่เชื่อมั้ยครับว่า ในปี 2563 ก็เกิด วิกฤติโควิดขึ้นทั่วโลก มีการปิดเมืองปิดประเทศ ตลาดหุ้นตกระเนระนาด ตามด้วย วิกฤติอสังหาริมทรัพย์จีน ต่อด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน สงคราม อิสราเอล-ฮามาส ตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เจอ วิกฤติเยอะมากและอย่างโหดร้ายด้วยคร้บ แต่มองในอีกมุมก็ถือว่า ผมก็ได้เทรนด์ AI ให้มีข้อมูลเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งปีที่หุ้นกำไรและปีที่หุ้นขาดทุน เพราะฉะนั้นผมต้องบอกว่า อัลกอริทึมหลักของจิตตะ ถูกพัฒนามาเป็นสิบปีแล้ว

นอกจากนี้ ในช่วงที่เปิดให้บริการกองทุนส่วนบุคคลมา 4-5 ปี จิตตะ เวลธ์ มีพอร์ตกองทุนภายใต้การบริหารจำนวน 68,000 บัญชีแล้ว ซึ่งมากที่สุดในประเทศ มุมมองของผมคือ การที่มีพอร์ตมากถึง 68,000 พอร์ต เท่ากับว่า คุณเก่งกว่าคนที่บริหารพอร์ตๆ เดียวถึง 68,000 เท่า เนื่องจากคุณจะมีข้อมูลเข้ามาใหม่ทุกปี และเป็นข้อมูลมากมาย ว่าคุณมีการซื้อหุ้นตัวไหน และสามารถทำกำไรขาดทุนอย่างไร ทำให้ AI มีข้อมูลป้อนกลับเข้ามาเพื่อเทรนด์ AI ให้ฉลาดและเฉียบคมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น ด้วยชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่มี ประกอบกับข้อมูลมหาศาลจากกองทุนส่วนบุคคลกว่า 68,000 พอร์ต ประกอบกับ AI ที่ผ่านการทดสอบกว่า 12 ปี ผ่านทุกวัฏจักรการลงทุน ทั้งช่วงตลาดเติบโตและตกต่ำ และพิสูจน์ผลตอบแทนยิ่งสูงหลัง วิกฤติ

บทพิสูจน์ประสิทธิภาพการใช้ AI ในการลงทุน สะท้อนผ่านการวัดผลตอบแทน พบว่า ผลตอบแทนของ Jitta Ranking ที่ใช้ AI บริหารจัดการ เปรียบเทียบกับกองทุนอื่นๆ ในอุตสาหกรรม ในช่วงเวลากตลอด 4 ปีกับ 1 ไตรมาสที่ผ่านมา ผลตอบแทนของ Jitta Ranking สามารถเอาชนะผลตอบแทนของกองทุนส่วนมากในประเทศได้อย่างน่าตกใจ

ผมขอยกผลงานอย่าง Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม ที่สร้างผลตอบแทน 140.27% เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนาม นอกจากนี้ Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ ก็สร้างผลตอบแทนได้ถึง 77.47% เป็นอันดับ 3 จากกองทุนหุ้นสหรัฐฯ 28 กองทุน

นอกจากนี้ ยังมีสถิติผลตอบแทนของกองทุนที่ Jitta Wealth ใช้ AI ในการบริหารพอร์ต เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของกองทุนอื่นๆ แล้ว พบว่า กองทุนของ Jitta Wealth สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นอันดับต้นๆ ของกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น Jitta Ranking ที่ลงทุนในประเทศต่างๆ หรือ Global ETF ที่กระจายการลงทุนไปทั่วโลก สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็น คือ พลังของ AI เพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนได้อย่างแม่นยำและเฉียบคมมากๆ ครับ 

และเมื่อเร็วๆ นี้ ผมก็ยังได้พัฒนาอัลกอริทึมขึ้นมาอีกระดับ คือ ‘Jitta Market Prediction’ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ในแบบ AI Predictive Analytics ที่มีการนำฐานข้อมูลการลงทุนมาวิเคราะห์ในทุกมิติ และเป็นโมเดลเพื่อเฟ้นหาตลาดที่น่าลงทุนและมีศักยภาพที่จะสร้างผลกำไรดีที่สุดในอนาคต ช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ แม่นยำ และสร้างผลตอบแทนได้ดีมากขึ้น โดย AI Predictive Analytics ได้บ่งชี้ว่า เวลานี้ หุ้นจีน-ฮ่องกงเป็นตลาดที่น่าลงทุน และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้มากที่สุด

ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา จิตตะไม่เคยหยุดพัฒนาเลยครับ ยิ่งเพิ่มความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี AI และการบริหารจัดการพอร์ตโดยอัตโนมัติ จะยิ่งทำให้จิตตะ มีข้อมูลวิเคราะห์หุ้นทั่วโลก ยิ่งพอร์ตการลงทุนจำนวนมาก และพฤติกรรมการลงทุนเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในมิติต่างๆ รวมถึงอัลกอริทึมได้ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา ซึ่งถ้าดูผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนที่จิตตะ เวลธ์บริหาร จะเห็นว่ามันดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ 

ตราบใดที่ AI ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงของตลาดหุ้น (Evidence- Based) ในทุกวัฏจักรการลงทุนมาแล้ว ก็จะยิ่งทำให้ AI สามารถพัฒนาโซลูชันที่จะทำให้การลงทุนมีทางเลือกและมีโอกาสมากกว่าที่ผ่านมาได้ดีที่สุดครับ

สุดท้ายนี้ ผมยังคงพัฒนา AI เพื่อการลงทุนต่อไปเรื่อยๆ ครับ เพราะยิ่ง AI เข้ามาช่วยการบริหารเงินลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านวัฏจักรตลาดหุ้นขึ้นและลงเรื่อยๆ จะยิ่งส่งผลให้ AI ฉลาดขึ้น มีความเฉียบคมและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ผลลัพธ์คือสร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่เติบโตครับ

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด

แชร์

เมื่อ AI พูดได้ อนาคตการลงทุนย่อมเฉียบคม