ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีนำเข้าเม็กซิโก แคนาดาและจีน เริ่มวันแรกที่รับตำแหน่ง

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ประกาศจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน ตั้งแต่วันแรกที่เขาจะสาบานตนขึ้นรับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ปี 2025 เพื่อเป็นการปราบปรามผู้อพยพผิดกฏหมายและแก้ไขปัญหาการลักลอบขนย้ายยาเสพติดเข้าสู่สหรัฐอเมริกา 

คอนเทนต์แนะนำ

“บิ๊กป้อม” ปัดตอบ คนในป่า ยกหูให้ช่วย “สามารถ”

ด่วน ตำรวจรวบแล้ว ดาว พี่สาวเมียทนายตั้ม

“สิระ” แฉ เทวดาโทรสั่งคนช่วย “สามารถ” เย้ย ไร้อิทธิฤทธิ์แล้ว

ทรัมป์ประกาศจะลงนามในคำสั่งพิเศษของฝ่ายบริหารสหรัฐฯ (Executive order) เพื่อกำหนดอัตราภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากเม็กซิโกและแคนาดาไว้สูงถึง 25% และจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% จนกว่ารัฐบาลจีนจะระงับการลักลอบขนยาโอปิออยด์สังเคราะห์ออกจากประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้เรียกร้องให้ทางการจีนหยุดผลิตส่วนผสมที่ใช้ในสารเฟนทานิล ซึ่งคร่าชีวิตชาวอเมริกันกว่า 75,000 รายเมื่อปีที่แล้ว

ทรัมป์เอาจริง ไม่ใช่แค่เรียกคะแนนเสียง

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เผยแพร่ข้อความในโซเชียลมีเดีย ระบุว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาไปจนกว่าทั้งสองประเทศจะแก้ปัญหาผู้อพยพที่ลักลอบเข้ามาในสหรัฐฯ รวมถึงปัญหาการขนย้ายยาเสพติดข้ามชายแดนได้สำเร็จ และเขายังโพสต์อีกว่า “ทั้งเม็กซิโกและแคนาดามีความสามารถที่จะแก้ปัญหาที่คั่งค้างนี้ได้อย่างง่ายดาย ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลทั้งสองประเทศจะต้องชดใช้ให้สหรัฐฯ ”

 ขณะที่ทรัมป์ได้โจมตีรัฐบาลจีนว่าไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่เคยประกาศจะลงโทษประหารชีวิตผู้ลักลอบค้ายาเฟนทานิลหรือยาโอปิออยด์ 

ด้านนายหลิว เผิงหยู โฆษกสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ดีซี เปิดเผยกับสำนักข่าวบีบีซีว่า ความเชื่อที่ว่ารัฐบาลจีนเพิกเฉยต่อการตรวจตราและปล่อยให้สารเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ นั้นเป็นเรื่องที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง พร้อมเรียกร้องให้เกิดความร่วมมือทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เพื่อสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน เพราะจีนเชื่อว่าไม่มีผู้ชนะที่แท้จริงในสงครมการค้าหรือสงครามภาษี 

ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ เคยขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและจีนสูงถึง 100%  เพราะเขามองว่าเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงกว่าคราวที่เขาดำรงตำแหน่งในสมัยแรก นอกจากนี้ เขาขู่จะยุติสถานะการค้าระหว่างอเมริกาและจีนในปัจจุบัน เพราะเขามองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับรัฐบาลจีนมากที่สุดในด้านภาษีศุลกากรรวมถึงข้อจำกัดอื่น ๆ ที่ค่อนข้างผ่อนคลายเกินไป

สตีเฟน โรช นักวิจัยอาวุโสที่ Paul Tsai China Center แห่งคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเยล กล่าวในรายการ Business Today ของบีบีซี ระบุว่า “การประกาศจะขึ้นภาษีในครั้งนี้ สอดคล้องอย่างชัดเจนกับคำสัญญาที่ทรัมป์ ให้ไว้ระหว่างหาเสียง ว่าจะใช้ภาษีศุลกากรเป็นอาวุธที่ทำให้นโยบายต่าง ๆ ของเขาบรรลุผลสำเร็จได้”

สินค้านำเข้าสหรัฐฯ จากทั้ง 3 ประเทศมีอะไรบ้าง

น้ำมันนับเป็นสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าเป็นอันดับหนึ่งจากแคนาดา สถิติสูงสุดที่4.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังนำเข้ารถยนต์ เครื่องจักร และสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ เช่น พลาสติก และไม้ จากแคนาดา 

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ส่วนใหญ่มาจากเม็กซิโก แซงหน้าจีนที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ในปี 2023 นอกจากนี้ เม็กซิโกยังเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร น้ำมัน เฟอร์นิเจอร์และแอลกอฮอล์จำนวนมาก 

สหรัฐอเมริกานำเข้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากจากจีน นอกจากนี้ยังมีเครื่องจักร ของเล่น เกม อุปกรณ์กีฬา เฟอร์นิเจอร์ และพลาสติกอีกด้วย

กำแพงภาษีฯ จะเป็นดาบทิ่มแทงชาวอเมริกันเองหรือไม่?

หากมีการบังคับใช้ภาษีศุลกากรที่เข้มงวดนี้ อาจสร้างความเสียหายให้กับห่วงโซ่อุปสงค์ - อุปทานของอเมริกาและอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาสินค้าจากกลุ่มประเทศเหล่านี้ โดยคาร์ล ชามอตตา หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การตลาดของ Corpay Cross-Border Solutions บริษัทการเงินข้ามชาติ เปิดเผยว่า มาตรการต่าง ๆ ที่ทรัมป์เสนอ อาจส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มภาระภาษีประมาณ 272,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และยิ่งทำให้ภาคครัวเรือนเปราะบางลง

หลังจากการประกาศดังกล่าว ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาร่วงลง 1.2% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าเงินเปโซเม็กซิโกร่วงลง 2% ขณะที่ค่าเงินหยวนของจีนที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลนั้น มีการซื้อขายในตลาดต่างประเทศสูงกว่า 7.6%

แม้ว่านักลงทุนเชื่อว่าภาษีศุลกากรดังกล่าวอาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในที่สุด แต่ตลาดการเงินของสหรัฐฯ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ภาษีศุลกากรพิเศษดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันของชาวอเมริกันพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้สินค้าเหล่านี้ถูกส่งผ่านชายแดนโดยไม่เสียภาษีนำเข้า