สำนักข่าว CNBC ของสหรัฐฯ รายงานว่า นาวิกโยธินสหรัฐฯ ได้แจ้งเตือนสมาชิกผ่านทางอีเมลให้หลีกเลี่ยงการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของ DeepSeek บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีน ทั้งในงานที่เกี่ยวข้องกับกองทัพและการใช้งานส่วนตัว โดยอ้างถึง "ความกังวลด้านความปลอดภัยและจริยธรรม" ที่เกี่ยวข้องกับที่มาของโมเดล AI นี้
ด้านโฆษกนาวิกโยธินสหรัฐฯยืนยันแถลงการณ์ในอีเมลดังกล่าว พร้อมระบุว่า เป็นไปตามนโยบาย Generative AI ของสำนักงานหัวหน้าเจ้าหน้าที่สารสนเทศประจำนาวิกโยธินสหรัฐฯ
อีเมลเตือนดังกล่าวได้รับการส่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผ่านรายการ OpNav (Operational Navy) ซึ่งหมายถึง เป็นคำเตือนระดับองค์กร โดยอ้างถึงคำแนะนำจากผู้จัดการแผนกไซเบอร์ของศูนย์ Naval Air Warfare Center ซึ่งระบุว่า ห้ามดาวน์โหลด ติดตั้ง หรือใช้งาน DeepSeek ในทุกกรณี เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านความมั่นคง
ในขณะเดียวกัน DeepSeek ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า บริษัทต้องจำกัดการลงทะเบียนผู้ใช้ชั่วคราว เนื่องจากถูกโจมตีทางไซเบอร์ในระดับใหญ่ ก่อนจะกลับมาให้บริการตามปกติในภายหลัง
คำเตือนของนาวิกโยธินสหรัฐฯมีขึ้นหลังจาก DeepSeek เปิดตัว AI โมเดลใหม่ที่ชื่อว่า R1 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีคู่แข่งกับ OpenAI และDeepSeek เป็นโมเดลแบบเปิด ทำให้นักพัฒนา AI ทั่วโลกสามารถนำไปใช้ได้ หลังเปิดตัว DeepSeek พุ่งขึ้นเป็นอันดับหนึ่งใน App Store ของ Apple แซงหน้า ChatGPT ของ OpenAI
ความก้าวหน้าของ DeepSeek ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดทุน เนื่องจากมีรายงานว่า DeepSeek ใช้เวลาพัฒนาเพียง 2 เดือน และใช้งบประมาณไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นงบที่ต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับ OpenAI, Anthropic และ Google
ผลกระทบนี้ทำให้หุ้นของ Nvidia และ Broadcom ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิป AI ร่วงลงถึง 17% ในวันจันทร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าตลาดของทั้งสองบริษัทหายไปกว่า 800,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนำไปสู่การที่ดัชนี Nasdaq ลดลง 3.1%
DeepSeek กำลังกลายเป็นหนึ่งใน AI ที่ทรงพลังและได้รับความนิยมสูงสุดในโลก แต่ขณะเดียวกัน ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้
Lauren Hendry Parsons ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวจาก ExpressVPN เตือนว่า นโยบายความเป็นส่วนตัวของ DeepSeek ระบุว่ามีการเก็บข้อมูลการพิมพ์ ที่อยู่ IP และติดตามพฤติกรรมนอกแอปพลิเคชัน ซึ่งนั่นก็มากพอที่จะทำให้ผู้ใช้ต้องคิดให้รอบคอบเกี่ยวกับข้อมูลที่พวกเขาแบ่งปันกับทางแอปฯ
เมื่อคุณใช้งาน DeepSeek ทางแอปฯจะเก็บและใช้ข้อมูลของคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พิมพ์เข้าไปจะถูกเก็บเอาไว้ ซึ่งรวมถึงข้อความ คำสั่งและอื่นๆที่พิมพ์ไป โดยนโยบายความเป็นส่วนตัวของ DeepSeek ระบุว่า จะเก็บข้อความ เสียง คำสั่ง ไฟล์ ฟีดแบค ประวัติการแชท หรือคอนเทนท์อื่นๆที่ใส่เข้าไปในโมเดลหรือบริการของ DeepSeek
นอกจากนี้ ยังมีการเก็บที่อยู่ IP ซึ่งจะช่วยให้ทางแอปฯสามารถประมาณการณ์สถานที่ที่ผู้ใช้งานอยู่ และเฝ้าสังเกตการณ์ว่า คนๆนั้นใช้งาน DeepSeek อย่างไรบ้าง อีกทั้งยังจะเก็บข้อมูลการเชื่อมต่ออุปกรณ์และเครือข่ายเมื่อคุณเข้าไปใช้งาน
รายงานยังระบุว่า ChatGPT ก็เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเก็บข้อมูลผู้ใช้ แต่สำหรับ DeepSeek การเก็บข้อมูลผู้ใช้งานดูไปไกลเกินกว่านั้น เพราะมีการติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้งานทั้งภายในและภายนอกแอป
ความกังวลลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับ TikTok จนนำไปสู่การแบนในสหรัฐฯ แต่ TikTok ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าทางแพลตฟอร์มมีการเก็บข้อมูลผู้ใช้ และนำไปแบ่งปันกับรัฐบาลจีน โดยชี้ว่าการแบน TikTok เป็นการบิดเบือนข้อมูลโดยไม่มีการพิจารณาหรือหลักฐานรองรับ
TikTok เป็นบริษัทในเครือของ Bytedance ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีของจีน ซึ่งสหรัฐฯระบุว่า แอปดังกล่าวเป็นภัยต่อความมั่นคงด้วยการเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน จึงสั่งให้มีการขายให้กับเจ้าของที่ไม่ใช่บริษัทจีน มิเช่นนั้นจะถูกแบน อย่างไรก็ตาม และเมื่อสัปดาห์ก่อน แอปฯดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้ในระยะอยู่หลายชั่วโมง หลังถึงเส้นตายและทางบริษัทปฏิเสธที่จะขายให้กับผู้ซื้อในสหรัฐฯ แต่ก็กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ขึ้นมารับตำแหน่ง และขยายระยะเวลาให้ TikTok ไปหาผู้ซื้อในสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้ก็มีรายงานว่า บริษัทยักษ์ใหญ่หลายเจ้ากำลังเจรจาอยู่กับ TikTok
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์มองว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของ DeepSeek เป็นสัญญาณเตือนภัย ให้กับบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ เพราะการมาของ DeepSeek แสดงให้เห็นว่าสงคราม AI จะดุเดือดมาก แต่เขาย้ำว่า เขายังคงมั่นใจในศักยภาพของสหรัฐฯ แต่ก็ประมาทไม่ได้