ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวชื่นชมการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ว่าด้วยข้อตกลงหยุดยิงในยูเครน โดยทรัมป์ยกย่องว่า เป็นการเจรจาที่ดีและมีประสิทธิภาพ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากปูตินพบกับ สตีฟ วิทคอฟ ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ในกรุงมอสโก เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (13 มีนาคม 68) โดยต่อมา ทรัมป์โพสต์บน Truth Social ว่า การเจรจาดังกล่าวเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับสงครามอันเลวร้ายและสงครามนองเลือดนี้จะสิ้นสุดลงในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน กล่าวหาว่า ปูตินพยายามยื้อการเจรจาเพื่อให้สงครามดำเนินต่อไป และพยายามกระตุ้นให้ทุกฝ่ายที่มีอิทธิพลต่อรัสเซีย โดยเฉพาะสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือ เพราะเขาเชื่อว่าปูตินจะไม่หยุดสงครามด้วยตัวเอง
ขณะที่เซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้นำอังกฤษเตือนว่า ผู้นำรัสเซียไม่ควรได้รับโอกาสให้เล่นเกมกับข้อเสนอหยุดยิง และในวันนี้ เซอร์สตาร์เมอร์เตรียมเป็นเจ้าภาพการประชุมผ่านวิดีโอคอลกับผู้นำมากถึง 25 ประเทศ เพื่อพัฒนาภารกิจรักษาสันติภาพ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกเสนอขึ้นระหว่างการประชุมสุดยอดในลอนดอนเมื่อต้นเดือนนี้
สำหรับพันธมิตรกลุ่มนี้ มีเป้าหมายทำงานเพื่อยับยั้งการรุกรานของรัสเซียในอนาคต ถ้าหากข้อตกลงหยุดยิงที่สหรัฐฯ เสนอมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายยไม่เคยเข้าใกล้สันติภาพเท่านี้มาก่อน
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปูตินเข้าร่วมประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ โดยผู้นำรัสเซียเรียกร้องให้กองกำลังยูเครนในภูมิภาคเคิร์สค์ของรัสเซียยอมแพ้ และกล่าวหาทหารยูเครนในพื้นที่ดังกล่าวว่าก่ออาชญากรรมต่อพลเรือน แต่ขณะเดียวกัน ปูตินก็ยอมรับว่า ทรัมป์ต้องการให้ไว้ชีวิตทหารเหล่านี้ ถ้าหากกองกำลังรัสเซียสามารถกลับมายึดพื้นที่คืนได้
ณ เวลานี้ ยูเครนกำลังพ่ายแพ้ในภูมิภาคเคิร์สค์ ซึ่งเป็นไพ่ต่อรองใบสุดท้ายของยูเครน ทำให้หลายฝ่ายมองว่า ปูตินอาจจงใจยื้อการเจรจาหยุดยิงกับสหรัฐฯ และยูเครนออกไปก่อน จนกว่าภูมิภาคนี้จะกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียโดยสมบูรณ์
ก่อนหน้านี้เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ยูเครนได้ตอบรับข้อเสนอหยุดยิง 30 วันจากสหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมแนวรบทั้งหมด หลังจากการเจรจากับผู้แทนสหรัฐฯ ที่ซาอุดีอาระเบีย
ปูตินยังกล่าวว่า รัสเซียกำลังพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ หลังจากที่เคยถูกลดระดับเหลือศูนย์ และถูกทำลายโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดก่อน แต่ปูตินกล่าวถึงความสัมพันธ์กับรัฐบาลทรัมป์ว่า โดยรวมแล้ว สถานการณ์เริ่มเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ต้องรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ต่อไป