ได้เริ่มขับสัมผัสสักทีหลังจากได้ลูบไล้มาหลายรอบ สำหรับเจ้า HAVAL H6 Plug-In Hybrid หรือเรียกสั้นๆ กระชับๆ ก็ HAVAL H6 PHEV ไปเลย และคงต้องยกให้เป็นรถรุ่นที่เล่นตัวมากที่สุดก็ว่าได้ ฮาๆ (คลิปทดลองขับ HAVAL H6 PHEV)
เพราะถ้าจำกันได้เจ้า PHEV คันนี้แหละ ที่เปิดตัวเรียกน้ำย่อยคนไทยกันตั้งแต่ปีที่แล้ว และก็เงียบหายไปพร้อมๆ กับความงงงวยของผู้ที่สนใจ ว่าเอ๊ะ ตกลงทาง GWM จะเอามาขายหรือเปล่านะ หรือแค่เอามาโชว์
ระยะเวลาล่วงเลยมาได้เกือบปี ในที่สุด HAVAL H6 PHEV ก็เริ่มมีชื่อกลับมาปรากฎบนหน้าสื่อไม่เว้นวัน ถึงกระแสการเปิดตัวเปิดจำหน่ายแบบจริงๆ จังๆ แต่ก็ไม่วายยังคงมีอาการเล่นตัวหยอกล้อกับสื่ออยู่เรื่อยๆ เรียกว่ากว่าจะได้ทดลองขับ ต้องผ่านกันหลายด่านเลยทีเดียว ไม่ว่าจะวันที่ต้องเข้าไปรับข้อมูลสเปคต่างๆ อีกวันคือวันเปิดตัวให้พรีวิวในสตูดิโอเกร๋ๆ แอร์เย็นๆ ก่อนที่ในวีคต่อมาจะได้มีโอกาสได้ทดลองขับ และสุดท้าย ณ ตอนนี้ก็ยังต้องรอเปิดตัวราคากับอีกระลอก (เรียกว่าคอนเทนต์ราคาเนี่ย แต่ละสื่อก็ได้เล่นได้คาดเดากันสนุกไปเลยทีเดียว แต่...! ตอนท้ายเรามีอะไรจะบอก!)
เอาละเข้าที่เข้าทางเรื่องการทดลองขับสักทีครับสำหรับรถที่ว่ากันว่ายอดจองร้อนแรงมากเหลือเกินในขณะนี้ ล่าสุดยอดจองเห็นว่าทะลุเกิน 6 พันคันไปแล้วด้วยนะ อือหือ การทดลองขับครั้งนี้เราเดินทางเป็นคาราวานในขาไปจากกรุงเทพฯ สู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผมได้ควบเจ้า HAVAL H6 PHEV สีดำทะมึน Sun Gold Black (รายละเอียดสเปค HAVAL H6 PHEV อ่านได้ที่นี่)
ในช่วงต้นเราขับตามกันในลักษณะคาราวานเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกัน จึงไม่ได้ทำการทดลองอะไรมากนัก แต่สิ่งแรกเลยที่สัมผัสได้ คือช่วงล่างที่ได้รับการปรับจูนใหม่ ระบบช่วงล่างยังเป็นเหมือน HAVAL H6 HEV ด้านหน้าเป็นแม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังเป็นมัลติลิงค์ ทางทีมวิศวกรแจ้งว่าในตัว PHEV ได้มีการปรับค่าสปริงใหม่ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น นั่นก็เพราะน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้นกว่า 200 กก. จากแบตเตอรีที่ใหญ่โตขึ้นนั่นเอง
ต้องบอกว่าหลังจาก HAVAL H6 PHEV ได้ทำการปรับช่วงล่างใหม่ กลับทำให้ผมพบว่ามันทำงานได้ดีขึ้นมีความกลมกล่อมมากขึ้น เนื่องจากฟีลลิ่งของช่วงล่างในตัว H6 HEV นั้นมันนิ่มนวลนุ่มนิ่มเกินไปสักหน่อยในย่านความเร็ว ซึ่งข้อด้อยในจุดนี้มันถูกปรับจูนแก้ไขจนออกมาได้อย่างน่าพอใจไม่น้อย เราพบว่าความย้วย ความโยนตัวในแบบเดิมมันถูกกำจัดออกไป ถูกแทนที่ด้วยความเฟิร์มและแน่นหนึบเข้ามา แน่นอนความนุ่มนวลมันย่อมลดลงไปจากตัว HEV แต่ไม่ได้ลดลงไปจนแข็งกระด้าง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการทรงตัวในช่วงความเร็วอย่างเห็นได้ชัด
การขับขี่ในช่วงขาไป เราเลือกใช้การขับแบบ EV Mode คือใช้ไฟฟ้า 100% ในการวิ่งแบบรถยนต์ไฟฟ้ากันไปเลย ช่วงเริ่มหน้าจอดิจิตอลแจ้งตัวเลข 195 กม. ที่กำลังไฟสามารถพาไปได้ เราเลยลองจัดให้รู้ดำรู้แดงไปเลย ว่าที่เคลมไว้ 201 กม./ชาร์จ จะทำได้ใกล้เคียงแค่ไหน สำหรับใน EV Mode แบบวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนทาง GWM ระบุว่ามันสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ด้วยความเร็วสูงถึงราว 140 กม./ชม. เลยทีเดียว ต้องบอกว่ามันเยี่ยมนะสำหรับจุดนี้
เมื่ออยู่ใน EV Mode การส่งกำลังไปที่ล้อทั้งหมดเกิดขึ้นจากภาระหน้าที่ของมอเตอร์ไฟฟ้า (ที่เป็นตัวเดียวกับที่ประจำการในตัว HEV นั่นแหละ ตัวเดียวกันเด๊ะ) ตัวรถมีความกระฉับกระเฉง และมีแรงดึงในขณะเร่งแซงมากกว่าตัว HEV อย่างรู้สึกได้ สำหรับขุมกำลังของ HEV กับ PHEV ต้องบอกว่าคู่หูดูโอตัวเดียวกัน ทั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.5 เทอร์โบ และมอเตอร์ไฟฟ้า ต่างกันที่ขนาดแบตเตอรีเท่านั้น ที่เป็นปัจจัยหลักทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถรีดกำลังออกมาได้เต็มประสิทธิภาพ แรงม้าจึงมาถึง 326 ตัวเลยทีเดียว
สำหรับระบบความปลอดภัยล้ำสมัยต่างๆ ในตัว PHEV ก็ยกมาจากตัว H6 HEV Ultra ทั้งหมด การทำงานถือว่าดีอยู่แล้วตั้งแต่ในตัว HEV เพราะฉะนั้นในส่วนนี้จึงไม่มีปัญหาใดๆ ให้ต้องกล่าวถึง โดยส่วนตัวผมชอบการทำงานของระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันของเจ้า HAVAL H6 อยู่แล้ว เนื่องจากมันทำงานได้นุ่มนวลและสมูทเอามากๆ
เอาละ ทีนี้เราเดินทางเข้าสู่ตัวจ.พระนครศรีอยุธยากันเรียบร้อย ระยะทางราว 102 กม. ผมรีบแอบชำเลืองมองตัวเลยระยะทางบนหน้าจอที่เหลืออยู่ แล้วพบว่า.... มันเหลือระยะทางที่ไฟฟ้าวิ่งได้อีก 54 กม. เท่านั้น นั้นพอคาดการณ์ได้ว่าในการใช้งานจริงจากที่เคลมไว้ที่ 201 กม. เจ้า HAVAL H6 PHEV คันนี้น่าจะทำได้ดีที่สุดคงไม่เกิน 160 กม./ชาร์จ อย่างที่คิดไว้นั่นแหละ แต่ก็ต้องบอกว่าตัวเลขนี้ก็ยังเหนือกว่าคู่แข่งอยู่ดีสำหรับในกลุ่มรถ Plug-In Hybrid
หลังจากเหลือระยะทางที่วิ่งได้อีกแค่นี้ เราเลยปรับมาใช้โหมด Hybrid โดยให้เครื่องยนต์เริ่มกลับมาทำหน้าที่ของมันบ้าง แต่ต้องบอกว่า ตลอดการเดินทางขามาเราไม่ได้ใช้น้ำมันแม้แต่หยดเดียว!
หลังจากถึงที่หมาย คราวนี้ถึงคราวแต่ละคันก็แยกย้ายการไปทำหน้าที่ของตัวเอง และปักหมุดหมายกลับไปเจอกันอย่างพร้อมหน้าที่จุดเริ่มต้นที่ออกเดินทางมา
เราข้ามมาถึงช่วงขากลับกันเลย ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวเลขสำหรับระยะทางที่วิ่งได้ด้วยไฟฟ้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินราวๆ อีกแค่ไม่เกิน 15 กม. ต้องบอกว่าสาเหตุหนึ่งมาจากการที่เราจอดรถเพื่อถ่ายทำรีวิวกัน และทำการติดเครื่องเอาไว้ตลอดเวลาจึงทำให้กำลังไฟฟ้าถูกใช้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นขากลับภาระหลักจึงต้องมีเครื่องยนต์เข้ามาช่วยในการขับเคลื่อน
การเดินทางขากลับ เราค่อนข้างใช้ความเร็วสูงพอสมควร เพื่อทำเวลาให้ถึงปลายทางได้อย่างตามกำหนด แต่เราก็ได้ทดลองเกี่ยวกับช่วงล่างได้อย่างถึงพริกถึงขิง ซึ่งมันทำให้เราพบว่าช่วงล่างมันดีขึ้นจริงๆ ทั้งการเปลี่ยนเลน การเข้าโค้ง มันโยนความมั่นใจใส่พวงมาลัยจนสัมผัสได้ หากเทียบกับกับ HEV มันแตกต่างกันไม่น้อย แม้กระทั่งน้ำหนักพวงมาลัยก็ดูดีขึ้น แต่อาจมาจากหน้ายางของรุ่น PHEV กว้างขึ้นก็เป็นได้ ขนาดยางของตัว PHEV คือ 235 55 R19 ส่วนใจตัว HEV รุ่น ULTRA จะเป็นขนาด 225 55 R19
เอาละ เมื่อเดินทางกลับมาถึงจุดหมาย ก็ทำการเติมน้ำมันมันเต็มถังอีกรอบ ตัวเลขกลมๆ คือ 400 บาทกับระยะที่วิ่งราวๆ 230 กม. แต่ผมไม่สามารถฟันธงลงไปได้ถึงเรื่องการบริโภคน้ำมัน เนื่องจากการไปในครั้งนี้ มีการจอดรถติดเครื่องไว้เป็นเวลานานอยู่หลายรอบ แค่พอให้เห็นตัวเลขคร่าวๆ ว่าพอคิดเป็นค่าน้ำมันเท่ากับตกกิโลละบาทกว่าๆ
สรุปสำหรับทริปทดลองขับได้ครั้งนี้ ต้องบอกว่า HAVAL H6 ก็ยังเป็นรถที่ขับได้ดีในแบบของมัน เมื่ออัพเกรดมาเป็นตัว PHEV แถมมีการปรับจูนช่วงล่างใหม่ ก็ยิ่งมีความลงตัวเพิ่มมากขึ้น อ่อ แล้วต้องบอกว่าในรถ PHEV ระดับเดียวกัน มีเจ้านี่แหละที่สามารถชาร์จไฟแบบ DC Fast Charge ได้ ใช้ระยะเวลาประมาณ 35 นาทีเท่านั้น จาก 0-80% ก็ถือว่าได้เปรียบคู่แข่งอีกจุด
สำหรับใครที่มองว่า ถ้าราคาเท่านั้นราคาเท่านี้ คงไปเอารถรุ่นนั้นรุ่นนี้แทนดีกว่า ผมอยากให้มองที่ลักษณะและการใช้งานของรถที่มีความแตกต่างกันออกไปมากกว่าครับ EV ล้วนก็แบบหนึ่ง PHEV ก็แบบหนึ่ง การเลือกซื้อรถสักคันราคาไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่เอามาเป็นจุดตัดสินใจได้ จริงไหมครับ
และ “ราคา” หลายคน หลายสื่อที่กำลังคาดเดา คาดการณ์ จากวงนอกวงในกันมาตลอด ผมถามมาให้แล้ว! ตัวเลขตรงๆ เขาไม่บอกแน่นอนครับ ต้องรอวันที่ 7 ตุลาคม ตามกำหนด แต่... ที่ได้คำตอบมาคือ
ทางทีมผู้บริหารอธิบายถึงตัวเลข 1.5 ล้านบาท ว่ามีช่วงราคาห่างจากตัว H6 HEV รุ่น ULTRA ราวๆ 2.5 แสนบาทนั้น เทียบกับสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในตัว PHEV มูลค่ามันสูงกว่านั้นพอสมควร โดยเฉพาะแบตเตอรีใหม่ที่ลูกใหญ่ขึ้นมาก จึงไม่สามารถทำราคาให้ต่ำกว่านี้ได้ สำหรับการตั้งราคารถต้องมีการแจกแจงรายละเอียดส่วนต่างๆ ต่อภาครัฐ ดังนั้นราคาที่จะเปิดออกมาในวันที่ 7 ตุลาคม นั้น จะเป็นราคาที่สมเหตุสมผล และไม่ได้ทำให้ทาง GWM มีกำไรเกินกว่าความเป็นจริงครับ เขาว่ามาแบบนี้ รอติดตามกัน...