เชื่อว่าเจ้านี่เป็นรถที่คนรอดูรีวิว ทั้งผ่านตัวอักษร และคลิปวิดีโอมากที่สุดรุ่นหนึ่งในตอนนี้ก็ว่าได้ นั่นก็คือ BYD Dolphin รถพลังงานไฟฟ้า 100% จากค่าย BYD รถที่เรียกกระแสจากนักขับชาวไทยได้ไม่น้อย หลังปรากฎโฉมให้เห็นในงาน Motor Show ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาที่ดูเข้าที ขนาดตัวรถที่เล็กลงกว่า Atto3 และราคาน่าจะเข้าถึงง่ายดายยิ่งขึ้น แต่ภายในงานกลับมีตัวเลขราคาหลุดว่อนสนนตัวเลขคาดการณ์ 7.99 แสนบาท จนเป็นที่พูดถึงกันไม่น้อยกับตัวเลขดังกล่าว
ความคืบหน้าล่าสุดจากคำบอกกล่าวของท่านประธานฯ เรเว่ ออโตโมทีฟ ก็คือ คุณประธานวงศ์ พรประภา ที่พูดถึงกระแสราคาคาดการณ์ดังกล่าวว่าเป็นความคลาดเคลื่อนในเรื่องของตัวเลขในขณะนั้น เนื่องจากตอนนั้น ตัวรถ Dolphin รุ่นจำหน่ายจริงในไทยยังอยู่ในกระบวนการปรับและพัฒนาให้เหมาะสม จึงยังไม่สามารถเคาะราคาจำหน่ายแท้จริงได้
คาดว่าราคาของ BYD Dolphin รุ่นที่จะเปิดราคาจริงในวันที่ 6 กรกฎาคม 2566 ที่จะถึงนี้ ตัวเลขจะมีความแตกต่างไปจากคราวก่อนอย่างแน่นอน และที่สำคัญมีแนวโน้มที่ราคาจะต่ำกว่าตัวเลขดังกล่าวอีกด้วย
คุณประธานวงศ์ พรประภา ยังยืนยันกับทางเราว่า การเปิดตัวเลขราคาคาดการณ์ในคราวก่อนไม่ใช่เป็นการโยนหินถามทางต่อผู้บริโภคอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่เป็นความคลาดเคลื่อนและถือเป็นประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับการทำตลาดของ BYD ในประเทศไทยหลังจากนี้
คราวนี้เรากลับมาที่การรีวิวทดลองขับกันสำหรับเจ้าโลมา BYD Dolphin สำหรับในการเปิดตัวเวอร์ชันประเทศไทยจะประเดิมด้วย 2 รุ่นย่อย คือรุ่น Standard Range และ Extended Range และทางเราอยากจะบอกว่า ทั้งสองรุ่น แม้จะเป็นรถยนต์รุ่นเดียวกัน คนละเกรดย่อย แต่มีความแตกต่างในหลายจุดชนิดน่าประหลาดใจทีเดียว
การทดลองขับในครั้งนี้เป็นทริปแบบ Free Run โดยทางทีมงานจะมีการปักหมุดหมายในการ Check Point ให้ทีมงานสื่อมวลชนต่างขับรถ ทดลองรถกันได้อย่างอิสระ เพียงแต่ให้ไปถึงที่หมายได้ตามเวลาที่นัดหมายเท่านั้นพอ ในช่วงเดินทางขาไป เราออกจากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าสู่พัทยา โดยเราได้ทดลองขับในรุ่น Standard Range กันก่อนในทริปนี้
BYD Dolphin รุ่น Standard Range ใช้ Blade แบตเตอรีแบบ LFP ขนาดความจุ 44.9 kWh ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ที่ให้กำลัง 70 kW แรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร ระยะทางที่เคลมไว้คือ 410 กม./ชาร์จ ตาม มาตรฐาน NEDC ความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. รองรับการชาร์จ AC 7 kW ชาร์จจาก 0-100% ในเวลา 7.5 ชั่วโมง และ DC 60 kW ชาร์จ 30-80% ในเวลา 28 นาที
มาพร้อมกับล้อแม็กขอบ 16 นิ้ว รัดด้วยยางไซน์ 205/50 R16 ช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ช่วงล่างหลังแบบทอร์ชันบีม ที่ปรับเซตมาได้อย่างนุ่มนวลดีมากในช่วงใช้ความเร็วต่ำ
สีภายนอก Standard Range มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี คือ
มิติตัวรถ กว้าง 1770 มม. ยาว 4290 มม. สูง 1570 มม. และมีระยะฐานล้อ 2700 มม. หากเทียบกับ Toyota Yaris 2023 กว้าง 1770 มม. ยาว 4310 มม. สูง 1615 มม. และมีระยะฐานล้อ 2620 มม. จะเห็นว่า BYD Dolphin มีขนาดที่ใกล้เคียงอย่างมาก โดยเฉพาะความกว้างที่มีขนาดเท่ากันเป๊ะเลย แต่หากเทียบกับรถไฟฟ้าด้วยกันอย่าง MG4 ที่มีขนาด กว้าง 1836 มม. ยาว 4287 มม. สูง 1516 มม. และมีระยะฐานล้อ 2705 มม. ทำให้เห็นว่าความกว้างเป็นรองทาง MG4 ถึง 66 มม. แต่ Dolphin จะมีความยาวที่ยาวกว่า
ดีไซน์ภายนอกของทั้ง 2 รุ่นย่อย ถ้ามองแบบรวมๆ จะดูแทบไม่มีความแตกต่างกัน หากใครซื้อรุ่นรอง จะเอามาแต่งเป็นรุ่น Top ก็สามารถทำได้ชนิดแยกไม่ออกอย่างแน่นอน สิ่งที่ต่างกัน จะมีลายและขนาดล้อแม็ก รวมถึงหลังคาด้านบนจะมีกระจก Sunroof แต่หากรุ่นรองนำมา Wrap หลังคาเป็นสีดำ มองเผินแทบไม่ต่างกัน และก็ยังมีสีของตัวรถที่ Extended Range จะเป็นสีแบบทูโทน ไฟหน้าเป็น แบบ LED เต็มระบบ ไฟหน้าอัตโนมัติ ปรับสูงต่ำออโต้ ในขณะที่การปรับระดับไฟหน้าสามารถลดหรือเพิ่มความสูงได้ผ่านหน้าจอกลางขนาด 12.8 นิ้วได้อีกด้วย ถือว่าให้มาดีมากๆ สำหรับฟังก์ชันนี้ ด้านไฟท้ายดีไซน์เฉียบขาด เป็นเส้นลากยาวจรดซ้ายขวาสวยงาม แต่ยังมีไฟเลี้ยวที่ยังแอบเป็นหลอดอยู่นะ แต่ก็ดีตรงดูแลง่าย
ตัวรถเป็นทรงท้ายตัดแบบ Hatchback การนำเสนอเรื่องใบปัดน้ำฝนหลังกลายเป็นจุดที่ต้องบอกว่ามันได้เปรียบคู่แข่งไปแล้ว ทั้งๆ ที่ใบปัดน้ำฝนหลังในรถประเภทนี้ควรมีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตราฐาน แต่กลายเป็นว่าพอ Dolphin มีมาให้ กลับเป็นเรื่องที่เราต้องชื่นชมไปซะได้ ของค่ายอื่นก็ควรจะมีติดตั้งมาให้ได้แล้วนะ อย่าเอาออกไปเลย
ภายใน BYD Dolphin เราพบว่ามันมีวัสดุบุนุ่มมาให้แบบยิบย่อยเล็กน้อย แต่ก็ต้องเข้าใจมันถูกวางไว้ในกลุ่มที่ราคาต้องไม่สูงมากนัก แต่วัสดุบุนุ่มมันก็ถูกเลือกติดตั้งไว้ในจุดสำคัญซะมากกว่า อาทิ ตรงกลางคอนโซลหน้า และแผงประตูข้าง ในจุดที่ข้อศอกเราต้องสัมผัสเวลาเปิดประตู ส่วนนอกนั้นเป็นวัสดุพลาสติกแบบแข็งขึ้นรูป ในมุมการออกแบบได้แรงบันดาลใจการคลื่นน้ำและฟองอากาศ ทำให้เหมือนเราได้ใกล้ชิดกับโลมาที่กำลังท้าคลื่นนั่นเอง จินตนาการล้ำเลิศ
ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติโซนเดียว สามารถปรับแรงลม ปรับอุณภูมิต่างๆ ได้ง่ายทั้งบนหน้าจอและมีปุ่มสำหรับปรับที่คอนโซนกลาง ไม่มีแอร์ตอนหลังในทั้ง 2 รุ่นย่อย แต่เราพบว่าแอร์สามารถทำงานได้ค่อนข้างดี ให้ความเย็นได้ทั่วห้องโดยสาร ซึ่งหากจอดกลางแดดเปรี้ยง อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยในการลดอุณหภฺมิ อย่างไรก็ดี BYD Dolphin ทั้ง 2 รุ่นสามารถสั่งรถสตาร์ทและเปิดแอร์ล่วงหน้าผ่าน Application ได้
แต่จุดที่ต้องบอกว่าชอบมากๆ มันทำออกมาได้ดีกว่าที่คาดไว้ คือขนาดภายในห้องโดยสารที่ไม่อึดอัดและมีขนาดใหญ่เอาเรื่อง ในส่วนของเบาะนั่งปรับมือ (รุ่น Standard Range) และปรับไฟฟ้า (รุ่น Extended Range) ที่มาพร้อมระบบระบายอากาศก็มีขนาดที่ทำออกมาได้ดีมาก รองรับสรีระสำหรับการขับรถ เดินทางไกลได้เป็นอย่างดี เบาะรองนั่งมีความยาวที่กำลังดีเช่นกัน
เริ่มกดคันเร่งออกเดินทาง เมื่อเข้าสู่เส้นทางมอเตอร์เวย์ ความเร็วสูงสุดที่เคลมไว้ 150 กม./ชม. และเมื่อเราได้ทดลองเมื่อมีระยะเพียงพอ ก็พบว่ามันทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 153 กม./ชม. (วัดจาก GPS) เรียกได้ว่าทะลุตัวเลขเคลมให้เห็นเลยทีเดียว อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เคลมไว้ที่ 12.3 วินาที
สำหรับการทำงานของช่วงล่างหากวิ่งความเร็วประมาณ 80-100 กม./ชม. ถือว่าเป็นช่วงล่างที่เซ็ตมาเป็นอย่างดี ให้ความนุ่มนวลสูงมากผิดจากความคาดหวังที่จะได้จากช่วงล่างหลังแบบ ทอร์ชันบีม แต่อาการมันจะเริ่มออกว่าไม่น่ารักเมื่อขับที่ความเร็วสูงประมาณ 120 กม./ชม. ขึ้นไป จะรับรู้ได้ถึงอาการยวบยาบที่เด่นชัดขึ้น รู้สึกได้ถึงน้ำหนักถูกทิ้งไปที่ด้านหลังในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วมีอาการท้ายออกให้เห็น แต่ก็สามารถควบคุมรถได้ไม่ยากเย็นอะไร เพียงแต่อาการมันอาจน่าหวาดเสียวสักเล็กน้อย แต่เรากลับไม่พบอาการแบบนี้ในขณะเปลี่ยนเลนแบบกะทันหันซะอย่างงั้น จะว่าไปแล้วช่วงล่างมันก็แปลกดีนะจะว่าไป
จุดที่ต้องบอกว่ายังไม่ประทับใจเท่าไหร่สำหรับอัตราเร่งของ BYD Dolphin ในรุ่น Standard Range โดยเฉพาะช่วงเร่งแซง 80-120 กม./ชม. มันดูไม่สมกับเป็นรถไฟฟ้าสักเท่าไหร่ ด้วยแรงดึงที่จับความรู้สึกแทบไม่ได้ แม้ความเร็วจะค่อยๆ ไต่ขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่ได้ตื้ออะไร แต่แรงดึงของมันทำให้เราแทบไม่รู้สึกเลย เรียกง่ายๆ ไปแบบนวลๆ แต่ไม่หนุกหนานอะไรประมาณนั้น
พวงมาลัยปรับได้ 2 ระดับคือ มาตรฐาน และกีฬา ฮาๆ แปลตามหน้าจอเขาว่าแบบนั้น จริงๆ ก็คือ Standard กับ Sports นั่้นแหละ สำหรับเราชอบแบบสปอร์ตมากกว่าเพราะมันจะให้ความรู้สึกคม และตึงมือ ทำให้รู้สึกว่ามันแม่นยำ ขึ้นกว่าอีกแบบ ส่วนการปรับรายละเอียดต่างๆ สามารถกระทำได้ผ่านหน้าจอความละเอียดสูงขนาด 12.8 นิ้วตรงกลาง และแน่นอนมันเป็นหน้าจอที่สามารถปรับนอนปรับตั้งได้เหมือนรุ่นพี่อย่าง Atto3 ได้เช่นกัน
การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารทำได้อยู่ในระดับดีเยี่ยมมากๆ มันเงียบจบถึงระดับความเร็ว 130 กม./ชม. หากความเร็วสูงกว่านั้นจะเริ่มมีเสียงลมบริเวณกระจกข้างเข้ามาเล็กน้อยเท่านั้น แต่เสียงจากพื้นถนนมันช่างเงียบดีเหลือเกิน แม้ความเร็วจะสูงแค่ไหนก็ตาม ถือว่ายอดเยี่ยมในจุดนี้
เอาละเราเดินทางมาถึงที่หมายสุดท้ายคือพัทยาเรียบร้อย จากการคำนวนแบบไม่ได้ละเอียดยิบชนิดตัวเลขเปะจนกระดิกไม่ได้ เราพบว่าเจ้า BYD Dolphin รุ่น Standard Range มันสามารถทำระยะทางการวิ่งได้ราวๆ 320+- กม.ต่อการชาร์จ แน่ๆ แต่ต้องบอกว่ามันถูกทดสอบบนพื้นฐานของผู้โดยสาร 2 คนพร้อมสัมภาระ และมีการกดมิดคันเร่งเพื่อทดสอบทั้งความเร็วและการออกตัวตลอดเส้นทาง ดังนั้นในการใช้งานทั่วไป ตัวเลขน่าจะขึ้นไปแตะ 350-360 กม./ชาร์จ ได้ไม่ยาก
วาปมาที่ขากลับกันบ้าง คราวนี้เราได้เปลี่ยนมาขับในรุ่นทอปกันบ้าง ก็คือ BYD Dolphin ในรุ่น Extended Range ใช้ Blade แบตเตอรีแบบ LFP ขนาดความจุ 66.48 kWh ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ที่ให้กำลัง 150 kW แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร ระยะทางที่เคลมไว้คือ 490 กม./ชาร์จ ตาม มาตรฐาน NEDC ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. รองรับการชาร์จ AC 7 kW ชาร์จไฟจาก 0-100% ในเวลา 10 ชั่วโมง และ DC 80 kW ชาร์จจาก 30-80% ในเวลา 29 นาที
มาพร้อมกับล้อแม็กขอบ 17 นิ้ว รัดด้วยยางไซน์ 205/50 R17 ช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตัส ช่วงล่างหลังแบบมัลติลิงค์ (ต่างจากรุ่น Standard Range) นั่นเท่ากับว่าทั้ง 2 รุ่นย่อย แม้จะเป็นรถรุ่นเดียวกันคลานตามกันมา แต่ดันใช้ช่วงล่างคนละแบบ เอาละสิ!
ดีไซน์ด้านนอก รุ่น Extended Range จะมาแบบสีทูโทน ตัวถังรถจะแยกสีกับกระโปรงหน้าและหลังคาด้านบน ด้านบนติดตั้ง Panoramic Sunroof บานใหญ่แบบตายตัว ไม่สามารถเปิดปิดได้ แต่มีม่านปิดด้านในมาให้ ก็พอจะลดความร้อนจากแสงแดดลงมาได้บ้างในวันที่แดดไม่ได้แรงนัก แต่วันที่เราได้ทดลองขับพบว่าแดดนั้นร้อนแรงเกินต้านทานซะเหลือเกิน ดังนั้นการปิดม่านเอาไว้น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องมากกว่า
สำหรับคู่สีเฉพาะของ BYD Dolphin ในรุ่น Extended Range มีดังนี้
ต้องบอกว่า BYD Dolphin มีออปชันหลายๆ จุด ที่มีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันซ่อนอยู่จนน่าค้นหา อย่างเช่น ช่วงล่างของ 2 รุ่นย่อยที่ใช้คนละแบบกัน และในรุ่นทอป สี Surge White + Atlantis Grey ก็ใช้ล้อแม็กลายที่ไม่เหมือนรุ่นอื่นๆ แปลกแต่จริง มันก็ดีนะ...แต่ก็ทำให้สับสนอยู่เหมือนกันในช่วงแรก ฮาๆ
วัสดุต่างๆ ภายใน ถูกตกแต่งและงานประกอบที่ค่อนข้างดีไม่แตกต่างกัน มีเพียงสีภายในเท่านั้นที่จะถูกใช้จับคู่กับสีภายนอกรถนั่นเอง ฟีลลิ่งการนั่งกับขนาดห้องโดยสารไม่ขอกล่างถึงอีกรอบเพราะมันเหมือนกันนั่นเอง อ่อ ต่างกันเพียงในรุ่น Extended Range มันมี ซันรูฟบานใหญ่ หากเปิดรับแสงมันก็จะดูโปร่งโล่งมากกว่าแค่นั้น
แต่สิ่งที่ต้องบอกว่า แม่เจ้า! 2 รุ่นย่อยที่ เหมือนรถคนละรุ่นกันเลย ไม่ว่าจะ พละกำลัง และช่วงล่าง รุ่น Extended Range ที่มีตัวเลขด้าน Performance เหนือกว่ารุ่น Standard Range ถึงกว่า 2 เท่า มันทำให้นิสัยแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ความเกรี้ยวกราดในขณะออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง จนถึงการบดคันเร่งขณะเร่งแซง มันทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเราแทบจะคิดว่ามันเป็นรถคนละรุ่นกันไปแล้ว
และยิ่งเมื่อนำช่วงล่างของทั้งสองรุ่นย่อยมาเทียบยิ่งไปกันใหญ่ ช่วงล่างมัลติลิงค์ในรุ่น Extended Range มันทำได้ดีไม่ต่างจากรุ่นรองในช่วงความเร็วต่ำ แต่เมื่อช่วงความเร็วสูงแล้วละก็มันคือรถคนละรุ่นกันชัดๆ ไม่ว่าจะ การทรงตัว การเข้าโค้ง หรือการจั๊มเนินสะพาน เราพบว่า ช่วงล่างในรุ่น Extended Range มันทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากๆ ขณะที่มันเป็นรถที่ถูกออกแบบให้มีความคล่องตัวทำงานร่วมกับช่วงล่างที่ดี เลยต้องบอกว่าขากลับจากพัทยาเราสามารถใช้ความเร็วแทบตลอดเส้นทางโดยปราศจากความหวาดเสียวและเหนื่อยล้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่เคลมจากโรงงาน อยู่ที่ 7.1 วินาที จากที่ทดลองพบว่าตัวเลขไม่ได้เคลื่อนไปจากนี้มากนัก
หลังจากเดินทางกลับถึง กทม. โดยสวัสดิภาพ เรากลับมานั่งวิเคราะห์เจ้า BYD Dolphin ทั้ง 2 รุ่นย่อย ก็พบว่ามันเป็นรถที่ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะในรุ่น Extended Range หลายจุดๆ ที่เรายังไม่ว้าวในรุ่นเริ่มต้น แต่เราจะพบมันในรุ่นทอป อย่างที่เราบอกว่า มันแทบจะเป็นรถคนละรุ่นกันไปแล้ว เพราะฟีลลิ่งการขับขี่มันแตกต่างกันแทบจะเกือบสิ้นเชิง คราวนี้ต้องมาดูราคาแท้จริงกันในวันที่ 6 ก.ค. ที่จะถึงนี้ ว่า 2 เกรดนี้ ราคาจะออกมาเป็นอย่างไร หากราคาแตกต่างกันไม่มาก ยังไงก็คงเชียร์ไปในรุ่นทอปเลยครับ
ส่วนคลิปรีวิวรอติดตามกันได้เลยครับ เร็วๆ นี้ มีมาให้ได้ชมกันอย่างแน่นอน