ในสมรภูมิอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ถือเป็นเกมแห่งการช่วงชิงความได้เปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ผลิตรถยนต์ต่างต้องปรับตัวและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดเอาไว้
Toyota Motor Corporation หนึ่งในยักษ์ใหญ่แห่งวงการยานยนต์ ก็ไม่นิ่งนอนใจ และได้ประกาศปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งสำคัญ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดแดนมังกร การปรับกลยุทธ์ในครั้งนี้ จะเป็นอย่างไร? Toyota จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรค และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้หรือไม่?
Toyota Motor Corporation เปิดเผยแผนการผลิตยานยนต์ในประเทศจีนอย่างน้อย 2.5 ล้านคันต่อปี ภายในปี 2030 โดยมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ ซึ่งประกอบด้วยการบูรณาการฝ่ายขายและฝ่ายผลิตเข้าด้วยกัน รวมถึงการมอบอำนาจการตัดสินใจและความรับผิดชอบในการพัฒนายานยนต์รุ่นใหม่ให้กับผู้บริหารระดับสูงในประเทศจีน
แผนกลยุทธ์ดังกล่าวซึ่งไม่เคยมีการเปิดเผยต่อสาธารณะมาก่อน ถือเป็นการปรับเปลี่ยนทิศทางเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญของผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำระดับโลกในตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Toyota ในการทวงคืนส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูญเสียไปให้กับ BYD Co., Ltd. และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ของจีนในช่วงเวลาที่ผ่านมา สำหรับ กลยุทธ์ของ Toyota นับว่าแตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกอื่นๆ ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น ที่กำลังลดขนาดการดำเนินงาน หรือถอนตัวออกจากประเทศจีน
แหล่งข่าว 2 ราย ระบุว่า Toyota มีเป้าหมายในการเพิ่มกำลังการผลิตในจีนเป็น 3 ล้านคันต่อปี ภายในสิ้นทศวรรษนี้ อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวทั้ง 3 ราย ซึ่งไม่ประสงค์จะออกนามเนื่องจากข้อมูลดังกล่าวยังไม่ได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ ยืนยันว่า Toyota ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายการผลิตดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
Toyota ประกาศแผนการอันน่าจับตามอง ด้วยการตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตยานยนต์ในประเทศจีนอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะสามารถผลิตรถยนต์ได้ถึง 3 ล้านคันต่อปี ภายในปี 2030 ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงการเติบโตที่สูงถึง 63% เมื่อเทียบกับปริมาณการผลิตในปี 2022 ซึ่งอยู่ที่ 1.84 ล้านคัน และ 1.75 ล้านคันในปี 2021 ตามลำดับ
กลยุทธ์ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดย Toyota มุ่งเน้นการบูรณาการการดำเนินงานระหว่างฝ่ายขายและฝ่ายผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาด นอกจากนี้ ยังมีการมอบอำนาจและความรับผิดชอบในการพัฒนายานยนต์ให้กับบุคลากรในประเทศจีนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางและความต้องการของตลาดในประเทศจีน
ที่น่าสังเกตคือ Toyota ได้มีการสื่อสารกับซัพพลายเออร์บางราย เกี่ยวกับแผนการเพิ่มกำลังการผลิตดังกล่าว เพื่อสร้างความมั่นใจในความสัมพันธ์อันดีระหว่างคู่ค้า และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว
แม้ Toyota จะยังไม่ประกาศเป้าหมายนี้อย่างเป็นทางการ แต่การดำเนินการเชิงรุกดังกล่าว ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของ Toyota ในการรักษาและขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศจีน ท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีนอย่าง BYD Co., Ltd.
การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของ Toyota ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ ณ ตลาดที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้ของ Toyota สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักรู้ภายในบริษัทฯ ที่เพิ่มมากขึ้นว่า จำเป็นต้องพึ่งพาบุคลากรในท้องถิ่นให้มากขึ้น เพื่อเร่งกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในประเทศจีน โดยแหล่งข่าวระบุว่า หากไม่ดำเนินการในทันที "อาจจะสายเกินไป"
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่แบบดั้งเดิม รวมถึง Toyota กำลังเสียเปรียบในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีน เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ สามารถเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาเข้าถึงได้ มาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูง และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างรวดเร็ว
ปัญหาสำคัญของ Toyota คือ ยานยนต์ที่พัฒนาโดยพันธมิตรร่วมทุนในจีน กลับมียอดขายที่ดีกว่ารถยนต์ที่ Toyota พัฒนาขึ้นเอง ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Hongqi ของ FAW Group และแบรนด์ Aion EV ของ GAC Group ต่างก็มียอดขายสูงกว่ารถยนต์รุ่นต่างๆ จาก FAW Toyota Motor และ GAC Toyota Motor ตามลำดับ ดังนั้น Toyota จึงมีแผนที่จะนำความรู้ความเชี่ยวชาญของพันธมิตรท้องถิ่นมาปรับใช้ในการพัฒนารถยนต์ให้ดียิ่งขึ้น
ปัจจุบัน Toyota ผลิตรถยนต์รุ่นเดียวกันในโรงงานของบริษัทร่วมทุนทั้งสองแห่ง แต่จำหน่ายภายใต้ชื่อและการออกแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งเรียกว่า "รถยนต์แฝด" ในอนาคต Toyota จะรวมการผลิตแต่ละรุ่นไว้ที่บริษัทร่วมทุนแห่งใดแห่งหนึ่ง และจำหน่ายรถยนต์รุ่นนั้นๆ ผ่านเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายของทั้งสองบริษัท
นอกจากผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นแล้ว ซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรถยนต์จากญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในจีน ก็ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงเช่นกัน Toyota รายงานผลประกอบการเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า กำไรจากการดำเนินงานในประเทศจีนลดลงในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ เนื่องจากต้นทุนทางการตลาดที่สูงขึ้น จากการแข่งขันด้านราคาอย่างหนักกับแบรนด์รถยนต์จีน
จากสถานการณ์ดังกล่าว Mitsubishi Motors Corp ได้ถอนตัวออกจากประเทศจีน ขณะที่ Honda Motor และ Nissan Motor ตัดสินใจลดกำลังการผลิตในประเทศจีนลง ดังนั้น การปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญของ Toyota จึงเป็นความพยายามในการพลิกเกมส์และแก้ปัญหา เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศจีน ก่อนที่จะสายเกินไป
การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เชิงรุกของ Toyota Motor Corporation ในประเทศจีน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปรับตัวขององค์กร ท่ามกลางพลวัตของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดยานยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
การตัดสินใจมอบอำนาจและความรับผิดชอบให้กับบุคลากรในระดับภูมิภาคมากขึ้น ประกอบกับการเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศจีน นับเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยให้ Toyota สามารถพัฒนายานยนต์ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างตรงจุด รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม Toyota ยังคงเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศจีน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ แม้ในขณะนี้ การประเมินผลลัพธ์ของการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวจะยังไม่สามารถกระทำได้อย่างสมบูรณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ความมุ่งมั่นของ Toyota ในการรักษาสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และการรุกตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง
อนาคตของ Toyota ในประเทศจีนจะเป็นเช่นไร? การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในครั้งนี้จะบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่? คงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป แต่สิ่งที่ปรากฏชัดเจนในขณะนี้คือ Toyota กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งสำคัญ และกำลังดำเนินการอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อเอาชนะอุปสรรค และคว้าโอกาสในการเติบโตในตลาดยานยนต์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
อ้างอิง Reuters