ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของปากีสถานอ้างว่า รัฐบาลอินเดียจะเริ่มปฏิบัติการทางทหารต่อกรุงอิสลามาบัดภายในเร็ว ๆ นี้ โดยนายอัททอเลาะห์ ทาราร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสารของปากีสถานโพสต์กลางดึกผ่าน X ระบุว่าปากีสถานมีข้อมูลข่าวกรองที่เชื่อถือได้ว่าอินเดียตั้งใจจะดำเนินการทางทหารต่อปากีสถานภายใน 24-36 ชั่วโมงข้างหน้า แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดว่าปากีสถานใช้หลักฐานใดในการกล่าวอ้างดังกล่าว
ความเคลื่อนไหวของรัฐมนตรีปากีสถานเกิดขึ้นประมาณ 1 สัปดาห์ หลังเหตุก่อการรายสังหารนักท่องเที่ยวในเมืองพัลฮาแกม แคว้นแคชเมียร์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 ราย บาดเจ็บหลายสิบ เหตุการณ์ดังกล่าวได้จุดชนวนให้ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศในเอเชียใต้กลับมาปะทุเดือดอีกครั้ง เนื่องจากอินเดียกล่าวหาปากีสถานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้ แต่อิสลามาบัดปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองประเทศต่างดำเนินการลดความสัมพันธ์ทางการทูตในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 24 เมษายน รัฐบาลประกาศว่า ชาวปากีสถานที่ถือวีซ่าชั่วคราวบางประเภทควรออกจากอินเดียภายใน 48 ชั่วโมง ขณะที่ปากีสถานปิดน่านฟ้าไม่ให้เที่ยวบินจากอินเดียบินเข้าเขตประเทศได้ พร้อมขับไล่ชาวอินเดียบางส่วนออกเช่นกัน ล่าสุด เจ้าหน้าที่ระดับสูงปากีสถานเผยว่า มีชาวปากีสถานมากถึง 786 คนเดินทางออกจากอินเดียผ่านจุดชายแดนอัตตาริ-วากาห์ ราว 786 คน ขณะที่ชาวอินเดียรวม 1,376 คนเดินทางกลับจากปากีสถานในจุดผ่านชายแดนเดียวกัน
“พาฮัลแกม” ที่มีฉายาว่าเป็น “สวิตเซอร์แลนด์แห่งอินเดีย” เคยเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวคึกคัก ต้อนรับผู้เยี่ยมชมไม่ต่ำกว่า 5,000-7,000 คนต่อวัน แต่หลังจากที่เกิดเหตุสลด เจ้าหน้าที่ทหารอินเดียตรึงกำลังเข้มในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ขณะที่ปฏิบัติการกวาดล้างยังคงดำเนินต่อไป ผู้คนหลายร้อยคนโดนควบคุมตัวเพื่อทำการสอบสวน ทำให้นักท่องเที่ยวลดลงเหลืองเพียง 50 - 100 คนต่อวันเท่านั้น
อภิเชก ซานซาเร ผู้ประกอบการทัวร์ในเมืองมุมไบกล่าวกับ BBC ว่า อัตราการยกเลิกการเดินทางที่วางแผนไว้จากเมืองต่าง ๆ เช่น ปูเน่ มุมไบ และเบงกาลูรูนั้นสูงมาก กลุ่มผู้ประกอบการทัวร์ที่มีชื่อเสียงกล่าวในการแถลงข่าวว่าการจองทั้งหมดประมาณ 80-90% ถูกยกเลิก เขาเผยว่าหลังจากการโจมตี มีความรู้สึกว่าสงครามกำลังใกล้เข้ามา นักท่องเที่ยวจึงสับสนว่าจะทำอย่างไร บางคนที่จองล่วงหน้าไว้แล้วกำลังดำเนินการตามแผนของตนต่อไป ซึ่งตัวเขาเองจะไปที่นั่นในเร็ว ๆ นี้เช่นกัน
แม้ว่าในพื้นที่จะมีการสาดกระสุนระหว่างสองประเทศใส่กันเป็นพัก ๆ แต่ที่ “จุดเซลฟี่” นอกเมือง ซึ่งมองเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจีและแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว อักเชย์ โซลันกี นักท่องเที่ยวจากมุมไบ กล่าวว่า ในวันเกิดเหตุ กลุ่มนักเดินทางของเขาเกิดความ “ตื่นตระหนก” แต่พวกเขาตัดสินใจเดินทางต่อไป เพราะค่าตั๋วเครื่องบินกลับบ้านแพงเกินไป นักแสดงบอลลีวูดอตุล กุลการ์นี ซึ่งมาเยี่ยมเมืองแห่งนี้ เพียงไม่กี่วันหลังจากเกิดเหตุโจมตี ได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC Hindi ว่า หากกลุ่มก่อการร้ายต้องการสื่อว่า "อย่ามาที่นี่ เราควรตอบโต้ด้วยการมากันให้มากขึ้น"
แทมมี บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่า มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กำลังเตรียมหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศในอินเดียและปากีสถานโดยเร็วที่สุด เพื่อเรียกร้องให้เกิดความสงบ โดยระบุว่า สหรัฐฯ กำลังติดต่อทั้งสองฝ่าย พร้อมออกปากเตือนว่าอย่าทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น ทั้งนี้ อินเดียและปากีสถานเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นยุทธศาสตร์ของวอชิงตันในการต่อต้านอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
ด้านหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้พูดคุยกับ อิสฮัก ดาร์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถาน โดยกล่าวว่า ความขัดแย้งใดๆ ระหว่างปากีสถานและอินเดีย "จะไม่เป็นผลดีต่อผลประโยชน์พื้นฐานของแต่ละฝ่าย" และยังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงในภูมิภาคอีกด้วย
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและจีนได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความขัดแย้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีการปะทะกันที่ชายแดนที่เป็นข้อพิพาทระหว่างกัน ในขณะเดียวกัน ปักกิ่งและอิสลามาบัดก็ได้เสริมสร้างความสัมพันธ์ โดยจีนยังคงลงทุนในปากีสถานภายใต้โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
ในช่วงไม่กี่วันหลังการโจมตีที่พากัลแฮม อินเดียก็ลดความสัมพันธ์กับปากีสถานอย่างรวดเร็ว หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการฉีกสนธิสัญญาแบ่งน้ำในแม่น้ำสินธุ ซึ่งถูกเขียนขึ้นตั้งแต่ปี 1960 สนธิสัญญาดังกล่าวกำหนดการแบ่งปันน้ำจากระบบแม่น้ำสินธุ ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วปากีสถานและอินเดียตอนเหนือ แม่น้ำสินธุมีต้นกำเนิดจากทิเบตและไหลผ่านจีนและแคชเมียร์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอินเดีย ก่อนจะไหลไปถึงปากีสถาน
อาวาอิส เลคารี รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานปากีสถาน โพสต์ข้อความผ่าน X ประณามอินเดียว่า การที่อินเดียระงับสนธิสัญญาแม่น้ำสินธุอย่างบุ่มบ่าม ถือเป็นการก่อสงครามน้ำ เป็นการกระทำที่ขี้ขลาดและผิดกฎหมาย ล่าสุด รัฐบาลากีสถานเปิดเผยกับรอยเตอร์สว่ากำลังเตรียมดำเนินคดีระหว่างประเทศเพื่อตอบโต้ที่อินเดียฉีกสัญญาสำคัญที่มีมากว่า 6 ทศวรรษ
อากีล มาลิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกฎหมายและความยุติธรรม เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า อิสลามาบัดกำลังวางแผนทางเลือกทางกฎหมายอย่างน้อย 3 ทางเลือก รวมถึงการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นหารือกับธนาคารโลก ซึ่งเป็นผู้ประสานงานการจัดทำสนธิสัญญา นอกจากนี้ ยังพิจารณาดำเนินคดีต่อที่ศาลอนุญาโตตุลาการถาวรหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรุงเฮก ซึ่งอาจกล่าวหาว่าอินเดียละเมิดอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญาปี 1969 อีกด้วย
เจ้าหน้าที่รัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสองฝ่ายกล่าวว่า อินเดียไม่สามารถหยุดการไหลของน้ำได้ทันที เนื่องจากสนธิสัญญาอนุญาตให้สร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำได้เท่านั้น โดยไม่มีพื้นที่กักเก็บน้ำขนาดใหญ่หรือเขื่อนกั้นน้ำบนแม่น้ำสามสายที่จัดสรรให้กับปากีสถาน แต่สิ่งต่าง ๆ อาจเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในอีกไม่กี่เดือน และเกษตรกรซึ่งได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่แล้ว ก็ได้แสดงความวิตกกังวลถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น