ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ประกาศฝ่ายเดียวว่าจะหยุดโจมตียูเครนชั่วคราวเป็นเวลา 3 วัน โดยแถลงว่า “การดำเนินการทางทหารทั้งหมด” ในยูเครนจะถูกระงับตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 8 พฤษภาคมถึงเที่ยงคืนวันที่ 11 พฤษภาคม 2025 ซึ่งตรงกับวันแห่งชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สองของรัสเซียวันที่ 9 พฤษภาคม และวันครบรอบ 80 ปีแห่งการพ่ายแพ้ของนาซีเยอรมนี ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวมีพื้นฐานอยู่บนการพิจารณาด้านมนุษยธรรม และชี้แจงอย่างชัดเจนว่าคาดหวังให้ยูเครนทำตาม
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ และยูเครนได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ความเคลื่อนไหวของรัสเซียในครั้งนี้ เป็นความดื้อรั้นของรัฐบาลรัสเซียที่ไม่ยอมลงนามในข้อตกลงหยุดยิงระยะยาว ซึ่งเป็นข้อเสนอจากสหรัฐฯ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ กำลังเดินหน้ากดดันทั้งรัสเซียและยูเครนให้ยุติสงคราม และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า ขณะนี้เป็นช่วงที่ค่อนข้างอ่อนไหว เพราะสหรัฐฯ กำลังตัดสินว่าจะทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยด้านสันติภาพต่อไปดีหรือไม่
ไบรอัน ฮิวจ์ส โฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ออกมาตอบโต้ต่อท่าทีของรัสเซีย ระบุว่า แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะยินดีกับความเต็มใจของผู้นำรัสเซียที่ประกาศหยุดยิงชั่วคราว แต่ประธานาธิบดีก็ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการหยุดยิงอย่างถาวรและแก้ไขความขัดแย้งนี้ด้วยสันติวิธี
ขณะที่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีของยูเครน เรียกการประกาศหยุดยิงว่าเป็น ความพยายามในการบิดเบือน โดยโพสต์บน X ระบุว่า รัสเซียปฏิเสธทุกอย่างมาโดยตลอดและยังคงบิดเบือนโลกเพื่อพยายามหลอกลวงสหรัฐอเมริกา เขาตั้งข้อสังเกตว่า การหยุดยิงที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ เพื่อให้รัสเซียได้จัดงานฉลองวันแห่งชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สองอย่างสงบสุขเท่านั้นเอง
รวมถึงนักการเมืองระดับสูงของยูเครนก็ไม่ได้ออกมายินดีกับท่าทีของรัสเซียเช่นกัน แอนดรีย์ เยอร์มัค หัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดีแห่งยูเครน กล่าวขอบคุณทรัมป์ที่สนับสนุนการหยุดยิงอย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็ไม่วายแซะผู้นำรัสเซียว่า มีเพียงการหยุดยิงที่ถาวร ไม่มีเงื่อนไข และครอบคลุมเท่านั้น ที่จะยุติสงครามได้ ไม่ใช่การหยุดยิงชั่วคราวตามที่ปูตินเสนอ ด้านอันดรี ซิบีฮา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน กล่าวว่าหากรัสเซียต้องการสันติภาพอย่างแท้จริง พวกเขาจะต้องหยุดยิงทันที และทำไมต้องรอจนถึงวันที่ 8 พฤษภาคม?
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่กองทัพรัสเซียประกาศหยุดยิง 30 ชั่วโมงในช่วง 19 - 20 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับเทศกาลอีสเตอร์ โดยอ้างเหตุผลด้านมนุษยธรรม นับเป็นช่วงเวลาหยุดยิงที่ยาวนานที่สุดของสงครามที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปี
แต่หลังจากนั้นรัฐบาลยูเครนก็ออกมาแฉว่ารัสเซียไม่ได้หยุดยิงจริง นับเป็นการละเมิดข้อตกลงด้วยการโจมตีแนวรบมากกว่า 2,900 ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น หลังสิ้นสุด 30 ชั่วโมงแห่งสันติภาพ รัสเซียก็ได้โจมตียูเครนขั้นรุนแรง โดยใช้โดรนโจมตียูเครน 96 ลำ อีกทั้งยังยิงถล่มด้วยขีปนาวุธถึง 3 ลูกติดต่อกัน การโจมตีของรัสเซียได้สังหารพลเรือนอย่างน้อย 62 ราย และบาดเจ็บอีก 290 รายในยูเครน
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานความมั่นคงของยูเครน (SBU) มองว่า การหยุดยิงในช่วงเทศกาลอีสเตอร์แสดงให้เห็นแล้วว่าในความเป็นจริงแล้วไม่มีการหยุดยิงเกิดขึ้น รัสเซียแค่แถลงต่อสาธารณะที่ไม่ได้รับการยืนยันในทางปฏิบัติ ขณะที่กระทรวงกลาโหมของรัสเซียก็ออกมากล่าวหาว่า ยูเครนเป็นฝ่ายละเมิดการหยุดยิงมากกว่า 1,000 ครั้งเช่นกัน โดยกองกำลังยูเครนได้ยิงโจมตีตำแหน่งของรัสเซียถึง 444 ครั้ง และตรวจพบการโจมตีด้วยโดรนจากฝั่งยูเครนมากกว่า 900 ครั้ง
BBC รายงานว่า รัสเซียใช้การประกาศหยุดการสู้รบชั่วคราวในช่วงนี้ เพื่อส่งสัญญาณไปยังทำเนียบขาวว่าในสงครามครั้งนี้ รัสเซียคือผู้สร้างสันติภาพ และรัฐบาลเคียฟคือผู้รุกราน ปูตินกล่าวหาว่ายูเครนต่างหากที่เป็นผู้เพิกเฉย และยืดเยื้อสงคราม แต่ดูเหมือนผู้นำสหรัฐฯ จะเริ่มไม่เอาด้วย ไม่เล่นตามเกมของปูตินอีกต่อไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ โดนัลด์โพสต์บน Truth Social วิจารณ์การโจมตีของยูเครนหลังการหยุดยิง ระบุว่า มันไม่มีเหตุผลเลยที่ปูตินจะยิงขีปนาวุธเข้าไปในพื้นที่พลเรือน ชุมชน และเมืองเล็ก ๆ ในยูเครน ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ และเรียกร้องให้ปูตินหยุดเสีย! เขาเริ่มมองว่า ปูตินอาจไม่ต้องการหยุดสงคราม เขาแค่กำลังโน้มน้าวให้ทรัมป์เชื่อว่ายูเครนไม่ร่วมมือ ซึ่งทรัมป์เริ่มขู่ว่าต้องใช้วิธีการอื่นกดดันรัสเซีย เช่น การคว่ำบาตรทางการเงินเพื่อสร้างแรงกดดัน
นี่เป็นการบ่งชี้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจจะเริ่มหมดความอดทนกับรัสเซียแล้ว แม้ว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีเซเลนสกีในที่สาธารณะเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลทรัมป์กดดันให้ทั้งรัสเซียและยูเครนตกลงหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นเวลา 30 วัน ยูเครนลงนามในข้อตกลงดังกล่าวแล้ว แต่รัสเซียไม่ได้ลงนาม เป็นอีกครั้งที่ทำให้เห็นว่าการหยุดยิงชั่วคราวเป็นเพียงเครื่องมือต่อรอง ไม่ใช้จุดเริ่มต้นของสันติภาพอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง