เรากำลังอยู่ในยุคที่รถยนต์ไม่ได้เป็นเพียงพาหนะสำหรับการเดินทางอีกต่อไป แต่ยังเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม บางเทคโนโลยีก็ยังคงมีข้อถกเถียงในหมู่ผู้ใช้ บทความนี้จะพาคุณสำรวจเทคโนโลยีขับขี่ในรถยนต์ยุคปัจจุบันที่ได้รับความนิยมและบางส่วนที่ผู้ใช้ไม่ค่อยชื่นชอบ
เทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ที่ผู้ใช้ชื่นชอบ
1. ระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติ (ADAS - Advanced Driver Assistance Systems) เทคโนโลยี ADAS เป็นระบบที่ช่วยลดภาระในการขับขี่และเพิ่มความปลอดภัย โดยประกอบไปด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น
- Adaptive Cruise Control (ACC): ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ปรับตามรถคันหน้าโดยใช้เรดาร์และเซ็นเซอร์ เพื่อลดภาระของผู้ขับขี่ในการเร่งและเบรก
- Lane Keeping Assist (LKA) ระบบช่วยให้รถอยู่ในเลนโดยใช้กล้องตรวจจับเส้นแบ่งถนน และสามารถปรับพวงมาลัยอัตโนมัติหากตรวจพบว่ารถกำลังออกนอกเลนโดยไม่ได้ตั้งใจ
- Automatic Emergency Braking (AEB): ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ใช้เซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับวัตถุด้านหน้า หากพบว่ามีความเสี่ยงต่อการชน ระบบจะสั่งให้รถเบรกทันทีเพื่อลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ
2. กล้องมองรอบคัน 360 องศา & เซ็นเซอร์ถอยจอด
- กล้องช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นรอบตัวรถได้อย่างชัดเจน ลดจุดบอดและช่วยให้การจอดรถง่ายขึ้น โดยมีการรวมภาพจากกล้องหลายตัวมาสร้างเป็นมุมมองแบบ Bird's Eye View
- เซ็นเซอร์จะส่งเสียงเตือนเมื่อเข้าใกล้สิ่งกีดขวาง ป้องกันการชนขณะถอยหลัง โดยบางระบบสามารถประเมินระยะห่างและแสดงผลบนหน้าจอเพื่อช่วยให้จอดได้แม่นยำขึ้น
3. Apple CarPlay & Android Auto
- ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับระบบ Infotainment ของรถยนต์ ทำให้สามารถใช้แผนที่, ฟังเพลง และโทรศัพท์ได้สะดวกขึ้น
- รองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Siri และ Google Assistant ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน
- ระบบแสดงข้อความและการแจ้งเตือนบนหน้าจอรถยนต์โดยสามารถอ่านข้อความผ่านเสียงเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
4. ระบบตรวจจับจุดบอด (Blind Spot Monitoring)
- ใช้เซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับรถในจุดอับสายตา และแจ้งเตือนผ่านไฟสัญญาณหรือเสียงหากมีรถเข้ามาใกล้ขณะเปลี่ยนเลน
- บางระบบสามารถช่วยเบรกหรือบังคับพวงมาลัยเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการชนที่อาจเกิดขึ้น
5. ระบบเบรกอัตโนมัติ (Autonomous Braking System)
- ใช้เซ็นเซอร์และ AI เพื่อตรวจจับวัตถุด้านหน้า และทำการเบรกอัตโนมัติเมื่อมีความเสี่ยงจากการชน
- ระบบบางรุ่นสามารถตรวจจับคนเดินเท้าและจักรยานเพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุในเมือง
6. โหมดขับขี่ประหยัดพลังงาน (Eco Mode) และ EV Mode
- โหมด Eco Mode ช่วยปรับการตอบสนองของคันเร่งและระบบปรับอากาศให้ใช้พลังงานน้อยลง
- EV Mode สำหรับรถยนต์ไฮบริดช่วยให้สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าได้ 100% ในระยะทางสั้น ๆ ลดการปล่อยมลพิษ
7. ระบบสั่งงานด้วยเสียง (Voice Command System)
- สามารถควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ของรถ เช่น เปิด-ปิดแอร์ หรือเปลี่ยนเพลง โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย
- รองรับคำสั่งเสียงที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นในรถรุ่นใหม่
เทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ที่บางคนไม่ชอบ
1. เสียงแจ้งเตือนที่มากเกินไป
- ระบบแจ้งเตือนต่าง ๆ เช่น การคาดเข็มขัดนิรภัย หรือระบบแจ้งเตือนเข้าใกล้รถคันหน้า อาจส่งเสียงรบกวนบ่อยครั้งจนทำให้เกิดความรำคาญ
- บางรุ่นมีระบบที่สามารถปรับลดระดับเสียงแจ้งเตือนได้ แต่หลายรุ่นเช่นกันที่แม้จะเสียงเบาสุดแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไหร่
2. ระบบดับเครื่องอัตโนมัติ (Auto Start-Stop)
- แม้ว่าจะช่วยประหยัดน้ำมัน แต่บางคนรู้สึกว่าการดับเครื่องและสตาร์ทใหม่บ่อย ๆ ทำให้รถกระตุกและเสียความต่อเนื่องในการขับขี่
3. หน้าจอสัมผัสที่แทนที่ปุ่มกายภาพทั้งหมด
- ระบบสัมผัสอาจดูทันสมัย แต่การควบคุมฟังก์ชันบางอย่าง เช่น แอร์หรือวิทยุ ผ่านหน้าจอ อาจทำให้ผู้ขับขี่ต้องละสายตาจากถนนมากขึ้น
4. ระบบช่วยบังคับเลนที่บังคับเกินไป
- ระบบ Lane Keeping Assist บางรุ่นมีความเข้มงวดมาก ทำให้บางครั้งผู้ขับขี่รู้สึกว่าถูกควบคุมมากเกินไป
เทคโนโลยีในรถยนต์สมัยใหม่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบาย อย่างไรก็ตาม ความชื่นชอบหรือไม่ชอบขึ้นอยู่กับสไตล์การขับขี่ของแต่ละคนและเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลด้วยเช่นกัน ผู้ผลิตรถยนต์จึงต้องหาจุดสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและประสบการณ์การขับขี่ที่เป็นธรรมชาติที่สุด และนั่นคือโจทย์ที่ท้าทายนักพัฒนาเป็นอย่างมาก เนื่องจากในปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ในรถยนต์กลายเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันหลักที่มีการแข่งขันด้านความล้ำหน้าของค่ายรถนั้น ๆ นั่นเอง แล้วคุณละมีระบบไหนที่ชื่นชอบ และไม่ชื่นชอบในรถคันปัจจุบันบ้าง