ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ Mazda สีแดงและ Toyota Fortuner สีดำที่ก่อให้เกิดความสนใจในสังคม ในกรณีรถ Mazda สีแดง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2568 ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบก์ ได้ร้องเรียนว่าถูกคนขับรถเก๋ง Mazda สีแดง บีบแตรและเฉี่ยวชนบนถนนราชพฤกษ์ ฝั่งขาออก มุ่งหน้าไปยังท่าอิฐ ปากเกร็ด บริเวณใต้ทางต่างระดับตัดกับถนนบางศรีเมือง-วัดโบสถ์ดอนพรหม ตำบลบางกร่าง อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี หลังเกิดเหตุ คนขับรถเก๋งได้โพสต์คลิปเหตุการณ์ลงในโซเชียลมีเดีย แต่ภายหลังได้ปิดบัญชีไป ชาวเน็ตได้ขุดคุ้ยและพบว่าคนขับรถเก๋ง Mazda สีแดงคันดังกล่าว เคยมีพฤติกรรมขับรถบีบแตรไล่รถจักรยานยนต์ในเลนขวา และมีการโพสต์คลิปเหตุการณ์เหล่านี้หลายครั้งในอดีต
เรื่องราวแนวนี้ ยังไม่จบดีเท่าไหร่ ล่าสุดพฤติกรรมเชิงเลียนแบบ ในกรณีแบบนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำอีก คราวนี้เป็นผู้หญิงกับกรณีรถ Toyota Fortuner สีดำ เกิดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 เกิดเหตุการณ์ที่จังหวัดนนทบุรี หญิงวัย 55 ปี ขับรถ Toyota Fortuner สีดำ บีบแตรเสียงดังและขับไล่ชนรถจักรยานยนต์หลายคันในซอยบ้านกล้วย-ไทรน้อย ตำบลพิมลราช อำเภอบางบัวทอง สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านและทำให้การจราจรติดขัด เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้าระงับเหตุด้วยการยิงสกัดที่ยางรถยนต์ โชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และภายหลังทราบว่าหญิงคนดังกล่าวมีประวัติพฤติกรรมขับรถในลักษณะดังกล่าวมาก่อน โดยเพื่อนบ้านเผยว่าเคยขับรถไล่ชนแม้กระทั่งพระสงฆ์ที่กำลังบิณฑบาต
เหตุการณ์ทั้งสองนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นพฤติกรรมการขับขี่ที่เสี่ยงอันตรายและส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ
และส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนมีหลายรูปแบบ เช่น
การขับขี่ก้าวร้าว
การขับขี่เร็วเกินกำหนด
การขับขี่โดยประมาท
การขับขี่ขณะมึนเมาหรือเสพสารเสพติด
การใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ
การขับขี่โดยขาดความระมัดระวัง
การขับขี่ในลักษณะคุกคามหรือพยายามก่อเหตุ
พฤติกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่เสี่ยงต่อผู้ขับขี่เอง แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ร่วมใช้ถนนคนอื่น ๆ การขับขี่อย่างมีสติและเคารพกฎจราจรจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการลดอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน
การแก้ปัญหาพฤติกรรมขับขี่อันตรายต้องใช้ทั้งมาตรการทางกฎหมาย การบังคับใช้ และการส่งเสริมวัฒนธรรมการขับขี่อย่างปลอดภัย
มาตรการทางกฎหมายและบทลงโทษ
ประเทศไทยมีกฎหมายควบคุมพฤติกรรมการขับขี่ที่เสี่ยงอันตราย ซึ่งกำหนดบทลงโทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
การขับขี่ก้าวร้าว หรือ ขับรถโดยประมาท (มาตรา 43, 157)
โทษ: จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขับรถเร็วเกินกำหนด (มาตรา 67, 152)
โทษ: ปรับไม่เกิน 1,000 บาท (หากทำให้เกิดอุบัติเหตุอาจมีโทษหนักขึ้น)
เมาแล้วขับ (มาตรา 43, 157)
แอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์: จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง: โทษจำคุกสูงสุด 10 ปี และปรับสูงสุด 200,000 บาท
ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ (มาตรา 43, 157)
โทษ: ปรับสูงสุด 1,000 บาท (หากเกิดอุบัติเหตุอาจโดนโทษฐานขับรถโดยประมาทเพิ่ม)
ฝ่าไฟแดง / ขับย้อนศร / ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย
โทษ: ปรับ 500 - 1,000 บาท (หากเกิดอุบัติเหตุอาจถูกดำเนินคดีอาญา)
การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
ปลูกฝังวัฒนธรรมการขับขี่ปลอดภัย
ส่งเสริมเทคโนโลยีช่วยลดอุบัติเหตุ
การลงโทษที่ได้ผลจริงในต่างประเทศ
บางประเทศใช้มาตรการที่เข้มงวดและได้ผล เช่น สิงคโปร์ หากเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ อาจถูกจำคุก และถูกแบนจากการขับขี่ตลอดชีวิต ญี่ปุ่น หากผู้โดยสารรู้ว่าคนขับเมาแต่ยังให้ขับ จะถูกลงโทษด้วย และเยอรมนี มีระบบ "แต้มใบขับขี่" หากทำผิดถึงจุดที่กำหนด จะถูกยึดใบขับขี่ถาวร
กฎหมายไทยมีบทลงโทษสำหรับพฤติกรรมขับขี่อันตรายอยู่แล้ว แต่การบังคับใช้ต้องเข้มงวดขึ้น ควรเพิ่มโทษสำหรับผู้กระทำผิดซ้ำ เช่น พักใช้หรือเพิกถอนใบขับขี่ ควรส่งเสริมวัฒนธรรมขับขี่ปลอดภัย และให้ประชาชนมีส่วนร่วมแจ้งเหตุ และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น ระบบช่วยขับขี่, กล้องตรวจจับอัตโนมัติ การแก้ปัญหานี้ต้องทำทั้ง กฎหมาย การบังคับใช้ วัฒนธรรม เทคโนโลยี ควบคู่กัน ถึงจะลดพฤติกรรมเสี่ยงและทำให้ถนนปลอดภัยขึ้น