ใกล้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี มีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน หลายๆ ครอบครัวมีการการเตรียมเดินทางท่องเที่ยว และเตรียมรถไว้เดินทางเที่ยวในเทศกาลนี้ ซึ่งก็ไม่ได้มีวิธียุ่งยากอะไร เพียงแต่ต้องตรวจตราเพิ่มเติม จากที่เคยตรวจรถประจำวัน ประจำสัปดาห์ อีกเพียง 3 – 4 รายการเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของเราและผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ต้องตรวจเช็กอะไรบ้าง เริ่มเลย
เช็กเครื่องมือ
ก่อนจะตรวจก็ต้องเตรียมกันก่อน ด้วยการเตรียมเครื่องมือประจำรถให้พร้อม เช่น ประแจแหวน ประแจปากตาย ประแจบ็อกขนาดเบอร์ต่างๆ กัน ไขควงปากแบน ไขควงปากแฉก คีมล็อก คีมปากจิ้งจก คีมปอกสายไฟ เทปพันสายไฟ น้ำกลั่นสำรอง ถังน้ำใบย่อมๆ ซัก 1 ใบ กาวตราช้างสัก 1 หลอด สายพานหน้าเครื่องอะไหล่ไว้อย่างละ 1 เส้น แม่แรงยกรถเวลาเปลี่ยนยาง ประแจถอดน็อตล้อ ที่สำคัญก็คือ ยางอะไหล่ ที่สภาพดีพร้อมเติมลมไว้เต็ม ไม่ใช่ว่ามียางอะไหล่จริง แต่ไม่เติมลมไว้ก็ลำบาก
เช็กของเหลว
ตรวจดูของเหลวทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำมันเบรก น้ำมันคลัทช์ น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ น้ำมันเครื่อง น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ น้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำหรือถังน้ำสำรอง น้ำฉีดกระจก น้ำกลั่นในแบตเตอรี่ สิ่งเหล่านี้ท่านสามารถตรวจเองได้ โดยไม่ต้องขับรถไปหาช่าง หลักการตรวจดูหรือเช็คระดับว่าของเหลวเหล่านี้ มีเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่นั้นใกล้เคียงกันหมด อย่างระดับน้ำมันเบรก น้ำมันคลัทช์ น้ำฉีดกระจก น้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำหรือถังน้ำสำรอง น้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่ สามารถตรวจสอบได้ด้วยสายตา ส่วนใหญ่ถ้วยหรือภาชนะบรรจุของเหลวพวกนี้ มักมองเห็นของเหลวที่บรรจุอยู่ภายใน และด้านนอกของภาชนะที่ใช้บรรจุ มักจะมีสเกลบอกระดับของเหลวที่บรรจุไว้ภายในอยู่แล้ว เราแค่อ่านตรงสเกลว่าตอนนี้ของเหลวหรือน้ำมันต่าง ๆ ที่บรรจุอยู่ภายในเหลืออยู่ในระดับใดเท่านั้น
สเกลโดยทั่ว ๆ ไปก็จะบอกระดับสูงสุดหรือ MAX และระดับต่ำสุดหรือ MIN โดยปรกติถ้าเราไม่ทราบว่าบริษัทผู้ผลิตกำหนดระดับการใช้งานจริงๆ ไว้ที่เท่าไหร่กันแน่ ก็ให้ยึดหลักง่าย ๆ ว่า ยังไงซะก็เหลือไว้ซักครึ่งนึงก่อนเป็นดี คือให้ปริมาณของเหลว อยู่ในช่วงระดับกึ่งกลางระหว่างขีด MAX กับ MIN และถ้าต่ำกว่าครึ่งหรืออยู่ใกล้เคียงระดับ MIN ควรเติมของเหลวนั้นๆ เพิ่มทันทีให้ได้ระดับที่บอก
ส่วนระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเพาเวอร์ และน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ นั้น สามารถเช็คได้ไม่ยากเช่นกัน เพราะเขามีก้านวัดระดับ หรือ OIL DIPSTICK มาให้แล้ว แค่ดึงก้านวัดนี้ขึ้นมาอ่านสเกลตรงปลาย ก็จะรู้ทันทีว่าปริมาณน้ำมันที่เราจะเช็คนั้นเหลืออยู่มากน้อยเท่าไหร่? โดยทั่ว ๆ ไปแล้วตรงปลายก้านวัดระดับ จะมีสเกลที่บอกระดับ MAX และ MIN เหมือนกับสเกลวัดของเหลวทั่ว ๆ ไป วิธีการดูว่าน้ำมันที่เหลืออยู่นั้นเพียงพอหรือไม่ ก็ใช้หลักการเดียวกับการอ่านสเกลของน้ำมันเบรกนั่นแหละ คือ ไม่ควรต่ำกว่ากึ่งกลางระหว่างขีด MAX กับ MIN เป็นดีที่สุด ถ้าปริมาณน้ำมันต่ำกว่าระดับที่ว่า ก็ควรเติมให้ได้ระดับ
การอ่านสเกลบนก้านวัดระดับ หรือ OIL DIPSTICK นั้น ถ้าจะให้แน่นอนแม่นยำ ไม่ควรอ่านสเกลในครั้งแรกที่ดึงขึ้นมา เมื่อดึงก้านวัดระดับขึ้นมาแล้ว ให้ใช้ผ้าสะอาด ๆ ที่ไม่เป็นขุยหรือขน เช็ดก้านวัดให้สะอาดทั้งเส้น ดูอย่าให้มีเศษขุยผ้าหรือผงต่าง ๆ ติดที่ก้านวัดเด็ดขาด หลังจากนั้นให้นำก้านวัดใส่กลับไปที่เดิมจนสุด แล้วดึงขึ้นมาอ่านสเกล การอ่านสเกลด้วยวิธีนี้ จะทำให้อ่านค่าได้แน่นอนกว่า การอ่านครั้งแรกที่ดึงขึ้นมา
เช็กสภาพยาง
ตรวจเช็กสภาพยางรถและปริมาณลมยาง ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยต่อการใช้งาน ความดันลมยางต้องอยู่ในระดับที่กำหนด ถ้าเป็นรถยนต์นั่งหรือรถเก๋งทั่ว ๆ ไป มักกำหนดความดันลมยางอยู่ในช่วง 28 – 36 ปอนด์/ตารางนิ้ว(PSI) ขึ้นอยู่กับขนาดยางและน้ำหนักบรรทุก สภาพโดยทั่วๆไปของยางรถยนต์ต้องดี แก้มยางต้องไม่มีรอยปริแตก ร่องยางต้องเหลือความลึกไม่น้อยกว่า 2 มิลลิเมตร
เช็กสัญญาณไฟ
เช็กไฟเตือน ไฟสัญญาณต่าง ๆ ว่าสามารถใช้การได้ดีหรือไม่ เช่น ลองเปิดไฟหน้าดูว่าใช้งานได้ดีทุกตำแหน่งหรือไม่ สวิทช์ไฟสูงทำงานหรือไม่ ไฟเลี้ยว ไฟฉุกเฉินติดครบทุกหลอดหรือไม่ โดยเฉพาะไฟเบรกต้องติดครบทุกหลอดเมื่อมีการเหยียบเบรก ไฟหรี่ ไฟถอย เมื่อเปิดหรือเข้าเกียร์ถอยติดสว่างหรือไม่
เช็กสายพานหน้าเครื่อง
ตรวจเช็กสายพานหน้าเครื่องทุกเส้น ว่าหย่อนหรือตึงไป หรือมีการปริแตกของท้องสายพานหรือไม่ รวมถึงเริ่มมีการฉีกขาดตรงส่วนหนึ่งส่วนใดของสายพานหรือไม่ หากพบให้เปลี่ยนสายพานเส้นนั้นทันที ส่วนการตรวจว่าสายพานตึงหรือหย่อนเกินไปนั้น ให้ลองใช้นิ้วมือกดดูตรงกลางระหว่างมูเล่ย์ สายพานแต่ละเส้นจะตั้งระยะการตึงหย่อนไม่เท่ากัน สำหรับรถใหม่ให้เปิดดูระยะตึงหย่อนที่ถูกต้องได้จากคู่มือประจำรถ แต่ถ้าเป็นรถเก่าให้กะระยะตึงหย่อนอยู่ในช่วง 10 – 13 มิลลิเมตร หรือประมาณ 1 – 1.3 เซนติเมตร เมื่อใช้นิ้วกดแล้วตัวสายพานแล้ว สายพานไม่ควรหย่อนตัวมากไปกว่าระยะที่บอกนี้
เช็กท่อยางต่างๆ
ตรวจท่อยางน้ำเข้า–ออกจากหม้อน้ำ และท่อยางทุกเส้นว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่ มีการปริแตกตรงบริเวณปลายท่อ หรือตรงบริเวณเข็มขัดรัดหรือไม่ ถ้าพบว่ามีการปริแตกหรือเริ่มปริแตกให้เปลี่ยนทันที เพราะหากทิ้งไว้เวลาเดินทางไกลท่อยางพวกนี้แตก จะทำให้น้ำในหม้อน้ำพร่องอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัดหรือ OVER HEAT ได้ เป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์มาก
ตรวจใบปัดน้ำฝนว่ายังใช้งานได้ดีอยู่หรือไม่ ยางของใบปัดยังมีคุณสมบัติการกวาดน้ำบนกระจกดีอยู่หรือเปล่า ถ้ายางยังอยู่ในสภาพดี ควรจะกวาดน้ำบนกระจกให้หมดได้ ภายในครั้งเดียวหรือเต็มที่ไม่ควรเกินสองครั้ง หากใช้จำนวนการปัดมากครั้งกว่านี้ จึงกวาดน้ำบนกระจกได้หมด ก็ควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนใหม่ได้เลย
เช็กระบบแอร์
ตรวจระบบแอร์คอนดิชั่น ลองเปิดแอร์ฯดูว่าเย็นฉ่ำดีหรือไม่? ถ้าให้ความเย็นได้ดี แต่ไม่ถึงกับ “ฉ่ำ” ก็ให้ลองตรวจเช็คว่า น้ำยาแอร์ฯใกล้หมดแล้วหรือยัง โดยให้สังเกตจากฟองอากาศที่ช่องตาแมว ทั่ว ๆ ไปมักจะติดตั้งไว้เหนือตัวดักความชื้น หรือ “รีเซฟเวอร์ดาร์ยเออ” ถ้าเป็นช่างมักเรียกสั้น ๆ ว่า “ดาร์ยเออ” มีลักษณะเป็นกระเปาะคล้ายขวดน้ำสีดำ ๆ ถ้าเวลาเปิดแอร์ฯแล้ว ตรงช่องตาแมวมีฟองอากาศมาก แสดงว่าน้ำยาแอร์ฯในระบบใกล้หมด ควรจะเติมใหม่ให้เต็ม แต่ถ้าไม่มีฟองอากาศน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย แสดงว่าปริมาณน้ำยายังเพียงพอสำหรับการใช้งาน แต่ถ้าน้ำยาในระบบไม่ขาดหรือน้อยเกินไปแอร์ฯก็ยังไม่เย็นฉ่ำอีก ให้ต้องลองตรวจเช็คตรงจุดอื่นดู ซึ่งบางทีอาจจะมาจากตู้แอร์ฯ ที่ไม่ได้ล้างทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน ๆ มีฝุ่นและเศษผงมาเกาะมากจนเกินไป เป็นเหตุให้แอร์ไม่ฉ่ำได้ ก็ต้องลองให้ช่างแอร์ฯตรวจเช็คดูอีกที
ส่วนการตรวจเช็กขั้นต่อไปเป็นหน้าที่ของช่างแล้ว ควรนำรถให้ช่างตรวจเช็กเครื่องยนต์ ช่วงล่าง และระบบเบรกให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนเดินทางไกลทุกครั้ง เพราะถ้ารถเราอยู่ในสภาพดี เราที่นั่งอยู่ในรถก็จะได้รับความปลอดภัยตามไปด้วย เว้นเสียแต่ใช้รถอย่างประมาท ก็โทษรถไม่ได้นะงานนี้ ต้องโทษคนถึงจะถูก ขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งไปและกลับในเทศกาลสงกรานต์นี้