ช่วงนี้ฝนฟ้าเริ่มเทกระหน่ำลงมาแล้วนะ การตรวจเช็กรถเพื่อกันไว้ดีกว่าแก้ นับเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง เรียกว่า เตรียมรับมือไว้ก่อนจะดีกว่า หากรอให้เสียหาย อาจจะต้องใช้เงินแก้ไข หรือซ่อมแซมมากกว่าที่ควรจะเป็น ขอแนะนำให้ตรวจเช็กในจุดต่างๆ
ตรวจใบปัดน้ำฝนว่ายังใช้งานได้ดีอยู่หรือไม่ ยางของใบปัดยังมีคุณสมบัติการกวาดน้ำบนกระจกดีอยู่หรือเปล่า ถ้ายางยังอยู่ในสภาพดี ควรจะกวาดน้ำบนกระจกให้หมดได้ ภายในครั้งเดียวหรือเต็มที่ไม่ควรเกินสองครั้ง หากใช้จำนวนการปัดมากครั้งกว่านี้ จึงกวาดน้ำบนกระจกได้หมด ก็ควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนใหม่ได้เลย
ตรวจเช็กสภาพยางรถและปริมาณลมยาง ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยต่อการใช้งาน ความดันลมยางต้องอยู่ในระดับที่กำหนด ถ้าเป็นรถยนต์นั่งหรือรถเก๋งทั่วๆ ไป มักกำหนดความดันลมยางอยู่ในช่วง 28 – 36 ปอนด์/ตารางนิ้ว(PSI) ขึ้นอยู่กับขนาดยางและน้ำหนักบรรทุก สภาพโดยทั่วๆ ไปของยางรถยนต์ต้องดี แก้มยางต้องไม่มีรอยปริแตก ร่องยางต้องเหลือความลึกไม่น้อยกว่า 2 มิลลิเมตร
เช็กไฟเตือน ไฟสัญญาณต่างๆ ว่าสามารถใช้การได้ดีหรือไม่ เช่น ลองเปิดไฟหน้าดูว่าใช้งานได้ดีทุกตำแหน่งหรือไม่ สวิทช์ไฟสูงทำงานหรือไม่ ไฟเลี้ยว ไฟฉุกเฉินติดครบทุกหลอดหรือไม่ โดยเฉพาะไฟเบรกต้องติดครบทุกหลอดเมื่อมีการเหยียบเบรก ไฟหรี่ ไฟถอย เมื่อเปิดหรือเข้าเกียร์ถอยติดสว่างดีหรือไม่ ฯลฯ
ตรวจระบบแอร์ ลองเปิดแอร์ฯดูว่าเย็นฉ่ำดีหรือไม่? ถ้าให้ความเย็นได้ดี แต่ไม่ถึงกับ “ฉ่ำ” ก็ให้ลองตรวจเช็กว่า น้ำยาแอร์ฯใกล้หมดแล้วหรือยัง โดยให้สังเกตจากฟองอากาศที่ช่องตาแมว ทั่วๆ ไปมักจะติดตั้งไว้เหนือตัวดักความชื้น หรือ “รีเซฟเวอร์ดาร์ยเออ” ถ้าเป็นช่างมักเรียกสั้นๆว่า “ดาร์ยเออ” มีลักษณะเป็นกระบอกคล้ายขวดน้ำสีดำๆ ถ้าเวลาเปิดแอร์ฯแล้ว ตรงช่องตาแมวมีฟองอากาศมาก แสดงว่าน้ำยาแอร์ฯในระบบใกล้หมด ควรจะเติมใหม่ให้เต็ม แต่ถ้าไม่มีฟองอากาศน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย แสดงว่าปริมาณน้ำยายังเพียงพอสำหรับการใช้งาน แต่ถ้าน้ำยาในระบบไม่ขาดหรือน้อยเกินไปแอร์ฯก็ยังไม่เย็นฉ่ำอีก ให้ต้องลองตรวจเช็กตรงจุดอื่นดู ซึ่งบางทีอาจจะมาจากตู้แอร์ฯ ที่ไม่ได้ล้างทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน ๆ มีฝุ่นและเศษผงมาเกาะมากจนเกินไป เป็นเหตุให้แอร์ไม่ฉ่ำได้ ก็ต้องลองให้ช่างแอร์ฯตรวจเช็กดูอีกที