โรค SLE โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ โรคพุ่มพวง คือโรคอะไร อาการเป็นอย่างไร เช็ก สัญญาณความผิดปกติที่ควรรีบพบแพทย์
โรค SLE หรือ Systemic Lupus Erythematosus เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (Autoimmune Disease) ซึ่งหมายถึงภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติและเข้าโจมตีเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้หลายระบบพร้อมกัน
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ แต่เชื่อว่าปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม เช่น การติดเชื้อ ไวรัส หรือการรับแสงแดดมากเกินไป และฮอร์โมนเพศ (พบมากในเพศหญิง) อาจมีบทบาทร่วมกันในการกระตุ้นให้เกิดโรค
อาการของโรค จะแสดงความผิดปกติในร่างกายหลายระบบร่วมกัน เช่น ผื่นโรค SLE ระบบผิวหนัง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด กล้ามเนื้อและข้อ เม็ดเลือด ไต ระบบทางเดินหายใจ ผมร่วง เป็นต้น
ดังนั้น ผู้ป่วยโรค SLE จึงมีอาการแสดงทางคลินิกที่หลากหลาย และมีความรุนแรงแตกต่างกัน ตั้งแต่อาการที่ไม่รุนแรง เช่น มีผื่น ปวดข้อ ไปจนถึงอาการแสดงที่มีความรุนแรงถึงเสียชีวิต เช่น ไตอักเสบ ดังนั้น การดูแลรักษาผู้ป่วยแต่ละรายจึงมีความแตกต่างกัน และแม้ว่าจะเป็นโรคที่รักษาไม่หายแต่ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงกับคนปกติ
จะต้องอาศัยประวัติการเจ็บป่วย และผลเลือด โดยมีเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติอย่างน้อย 4 ใน 11 ข้อ ได้แก่
1. ผื่นบริเวณใบหน้าและมีการกระจายเป็นรูปผีเสื้อ
2. ผื่นผิวหนังชนิดที่เรียกว่าผื่นดีสคอยด์ พบได้บ่อยบริเวณใบหน้า ใบหู ลำตัว และแขนขา
3. อาการแพ้แดด โดยมีผื่นผิวหนังแดงอย่างรุนแรงเมื่อโดนแดด
4. แผลในปาก
5. ข้ออักเสบ
6. ไตอักเสบ โดยปริมาณโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะมากกว่าปกติ
7. อาการชักหรืออาการทางระบบประสาทอื่นๆ
8.เยื่อหุ้มปอดหรือหัวใจหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
9. อาการซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ หรือเกล็ดเลือดต่ำ (ที่ไม่ได้เกิดจากยาหรือการติดเชื้อ)
10. ตรวจพบแอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี (antinuclear antibody) ในเลือด
11. ตรวจพบแอนติบอดีต่อดีเอ็นเอ (anti-dsDNA) หรือการตรวจพบแอนติฟอสโฟไลปิดแอนติบอดี หรือการตรวจเลือดพบผลบวกปลอมต่อการตรวจซิฟิลิส
เนื่องจากการรักษาโรค SLE มีระยะการรักษาที่ยาวนาน นอกจากการรักษาโรคแล้ว ผู้ป่วยควรดูแลตนเอง โดยควรทำความเข้าใจ ธรรมชาติ และกลไกการเกิดโรค รวมทั้งเข้าใจเหตุผลของการประเมิน ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ดังนี้
1. ทำจิตใจให้สงบ ไม่เครียด
2. พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะและครบหมู่ ควรรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์และปรุงสุก
4. หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจ้า ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเมื่อต้องออกไปกลางแดด
5. อยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีผู้คนหนาแน่น
6. ไม่ควรตั้งครรภ์ ในขณะที่โรคยังรุนแรงหรือกำลังกำเริบ
7. รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
8. หากสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อ เช่น มีไข้ มีแผล ฝี หนอง ไอ ปัสสาวะแสบขัด ท้องร่วง หรือต้องรับการรักษาอื่นๆ เช่น การทำฟัน หรือต้องเข้ารับการผ่าตัด และหากมีอาการผิดปกติที่อาจบ่งชี้ว่าโรคกำเริบ เช่น อาการไข้ อ่อนเพลียมีผื่นขึ้นมากกว่าเดิม ปวดข้อ ผมร่วง มีแผลในปาก เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ปรับยา หยุดยา หรือพิจารณาให้ยาตามความเหมาะสม
9. ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอและไม่ควรหยุดยาเอง เนื่องจากในบางครั้งอาจทำให้โรคกำเริบอย่างรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้
ข้อมูลอ้างอิง mayoclinic.org , กระทรวงสาธารณสุข
Advertisement