4 มีนาคม วันอ้วนโลก (World Obesity Day) เช็กให้ชัวร์แบบไหนเลยคำว่า "มีน้ำมีนวล" ไปแล้ว ย้ำ ! ความอ้วนเป็นโรคเสี่ยงสารพัดโรคอาการรุนแรง
วันอ้วนโลก หรือ World Obesity Day วันสำคัญด้านสุขภาพที่กำหนดให้ วันที่ 4 มีนาคมของทุกปีเป็น วันอ้วนโลก เพื่อเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับโรคอ้วนและผลกระทบที่เกิดจากโรคนี้ต่อสุขภาพและสังคม โดยมีการเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและการจัดการโรคอ้วน รวมถึงการสนับสนุนให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกินและการอกกำลังกายให้ดีขึ้น
เพิ่มความรู้และการรับรู้ : วันโรคอ้วนโลกช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงอันตรายจากโรคอ้วน และช่วยลดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้ เช่น การมองว่าโรคอ้วนเป็นเรื่องของความขี้เกียจหรือการขาดความตั้งใจ
ส่งเสริมการป้องกันและการรักษา : โรคอ้วนสามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และปัญหาทางจิตใจ ดังนั้นการให้ข้อมูลเพื่อการป้องกันและการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
กระตุ้นให้ผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม : ส่งเสริมให้ผู้คนหันมาทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ การกำหนดให้ทุกวันที่ 4 มีนาคม ของทุกปีเป็น วันอ้วนโลก ก็เพื่อช่วยให้สังคมได้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพและวิธีการป้องกันโรคอ้วนที่สามารถเริ่มต้นจากการปรับพฤติกรรมชีวิตประจำวัน
แบบไหนเรียก อ้วน สามารถเช็กได้จากค่าดัชนีมวลกาย Body Mass Index หรือเรียกย่อ ๆ ว่า BMI โดยตามหลักการแล้วว่าวิธีหาค่า BMI จะใช้สูตร น้ำหนัก (กก.) หารด้วย ส่วนสูง (ม.) ยกกำลัง 2
ผลออกมาถ้าน้อยกว่า 18.5 แสดงว่าน้ำหนักน้อยเกินไป
ถ้าอยู่ระหว่าง 18.5-22.9 แสดงว่าน้ำหนักปกติ
ถ้าอยู่ระหว่าง 23-24.9 แสดงว่าเริ่มมีน้ำหนักเกิน
ถ้าอยู่ระหว่าง 25-29.9 จัดว่าเป็นคนอ้วนระดับ 1
ถ้ามากกว่า 30 จัดว่าเป็นคนอ้วนระดับ 2
ค่า BMI บ่งชี้ อ้วนหรือไม่อ้วนนั้น ควรอยู่ระหว่าง 18.5 ถึง 22.9 ถ้ามากกว่า 25 ขึ้นไปถือว่าอ้วนและเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ฯลฯ (ยกเว้นบางคนที่เล่นกล้ามจนมีน้ำหนักกล้ามเนื้อมาก)
1. โรคหัวใจและหลอดเลือด : การมีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันในหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งสามารถนำไปสู่การตีบของหลอดเลือด และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวาย
2. ความดันโลหิตสูง : การที่มีน้ำหนักตัวเกินมักจะทำให้ระบบหลอดเลือดและการทำงานของหัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
3. โรคเบาหวาน : การที่ร่างกายมีไขมันสะสมมากเกินไปสามารถส่งผลให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 เนื่องจากอินซูลินไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
4. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) : การที่มีความดันโลหิตสูงและไขมันในร่างกายมากเกินไปสามารถทำให้หลอดเลือดในสมองมีการตีบตัน ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองหรืออาการเส้นเลือดในสมองแตก
5. โรคระบบทางเดินหายใจ : เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Sleep Apnea) ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนมักมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งเกิดจากการที่ไขมันสะสมบริเวณคอและลำคอทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบ
โรคหอบหืด : การที่มีน้ำหนักตัวเกินมักจะทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานหนักขึ้นและสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหอบหืดได้
6. โรคมะเร็ง : โรคอ้วนสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ มะเร็งไต มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งตับอ่อน เป็นต้น
ไขมันในร่างกายสามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
7. โรคข้อเสื่อม : การที่มีน้ำหนักตัวเกินจะทำให้ข้อที่รับน้ำหนักอย่างเข่าและสะโพกต้องรับภาระหนักขึ้น ซึ่งสามารถทำให้เกิดการเสื่อมของกระดูกและข้อ และนำไปสู่โรคข้อเสื่อม
8. โรคทางจิต : เช่น ภาวะซึมเศร้า (Depression) คนที่มีภาวะโรคอ้วนมักประสบกับความเครียดและภาวะซึมเศร้า เนื่องจากการยอมรับรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไป หรือการถูกเหยียดหยามจากสังคม
ภาวะวิตกกังวล (Anxiety) : ความเครียดจากปัญหาสุขภาพหรือการมีรูปร่างที่ไม่พึงพอใจอาจทำให้เกิดภาวะวิตกกังวล
9. ภาวะแผลเรื้อรังและการติดเชื้อ : โรคอ้วนสามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งทำให้ร่างกายมีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถเกิดภาวะแผลเรื้อรังได้จากการมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป
10. ปัญหาการย่อยอาหาร : คนที่มีน้ำหนักเกินมักมีปัญหาด้านการย่อยอาหาร เช่น โรคกรดไหลย้อน (GERD) เนื่องจากไขมันที่สะสมบริเวณกระเพาะอาหารอาจทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร
Advertisement