ทำความรู้จัก เครื่องบินขับไล่กริพเพน สมรรถนะ เทคโนโลยีดีแค่ไหน ทำไมกองทัพอากาศไทยถึงเลือกใช้รุ่นนี้
หลังจากที่กองทัพอากาศตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องบินขับไล่โจมตีจากเดิมที่ใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 Block 15 มาเป็นเวลากว่า 40 ปี ได้หันมาเลือกเครื่องบินขับไล่โจมตีรุ่นใหม่เป็น JAS 39 Gripen E/F ที่ผลิตในประเทศสวีเดน โดยมีการจัดซื้อจำนวน 12 ลำ มูลค่ารวมเกือบ 6 หมื่นล้านบาท โดยกองทัพอากาศให้เหตุผลว่า เครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนต้องเป็นเครื่องบินที่มีขีดความสามารถดีกว่าเครื่องบินขับไล่โจมตี ที่กองทัพอากาศมีใช้งานในปัจจุบัน มีความเหมาะสมในด้านคุณสมบัติร่วมและความต่อเนื่อง (Commonality & Continuity) สามารถพัฒนาต่อยอดตามยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศและกองทัพไทยได้ในอนาคต รวมถึงต้องมีการดำเนินการตามนโยบายชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ (Offset Policy) เพื่อพัฒนาไปสู่การพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน เสริมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ
เครื่องบินขับไล่โจมตีแบบ JAS 39 Gripen E/F มีขีดความสามารถที่ตอบสนองความต้องการทางยุทธการตามหลักนิยมและยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศ ทั้งยังมีอิสระในการใช้งาน และสามารถพัฒนาต่อยอดนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพการปฎิบัติการร่วมหลายมิติ (Multi-Domain Operations) ระหว่างกองทัพอากาศร่วมกับ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และหน่วยงานความมั่นคงต่าง ๆ ภายใต้แนวความคิดการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลางได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต
รวมถึงสอดคล้องกับกรอบงบประมาณที่กองทัพอากาศได้รับการจัดสรร ตลอดจนมีข้อเสนอตามนโยบายชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ทั้งทางตรงในการสร้างโอกาสการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศนำไปสู่การพึ่งพาตนเอง เพื่อยกระดับมาตรฐานเข้าสู่ในระดับสากลและการชดเชยทางอ้อมในการให้ทุนการศึกษาแก่บุคลากรในต่างประเทศทั้งภายในกองทัพอากาศและประชาชนทั่วไปให้มีความรู้และทักษะความชำนาญขั้นสูง รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีในด้านสิ่งแวดล้อมและด้านเกษตรกรรม ตลอดจนการสร้างศูนย์นวัตกรรมที่นำไปสู่การเสริมสร้างผลผลิตในการสร้างรายได้ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศไทย เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ในระยะยาวต่อไป
• เป็นเครื่องบินขับไล่-โจมตีแบบอเนกประสงค์
• พัฒนาโดยบริษัท Saab AB ประเทศสวีเดน
• รองรับนักบินได้ 1-2 ที่นั่ง ขึ้นอยู่กับรูปแบบภารกิจ
• เครื่องยนต์ RM12 ของ Volvo พื้นฐานจากเครื่องยนต์ F-404 ของเจเนอรัล อิเล็กทริก
• แรงขับสูงสุด 18,000 ปอนด์ เมื่อเปิดสันดาปท้าย ระบบเรดาร์ PS-05/A ของอิริคสัน
• ความยาวลำตัว 14.1 เมตร สูง 8.4 เมตร น้ำหนักตัวเปล่า 5,700 กิโลกรัม
• น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด 14,000 กิโลกรัม
• น้ำหนักบรรทุก 8,000 กิโลกรัม
• ปริมาณเชื้อเพลิงภายในลำตัว 3000 ลิตร
• พิสัยบิน (บินไกล) 3,000 กิโลเมตร
• เพดานบินปฏิบัติการ 15,000 เมตร
• ความเร็วสูงสุด มัค 2.0
• ระยะทางวิ่งขึ้น 400 เมตร
• ระยะทางร่อนลง 600 เมตร
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยและการตั้งคำถามว่า ทำไมกองทัพอากาศไทยถึงเลือกใช้ JAS 39 Gripen E/F แทนที่เครื่องบิน F-16 ของสหรัฐ ที่นักบินไทยคุ้นเคย มีความเร็วสูง หรือ SU-30 ของรัสเซีย ที่บรรทุกได้มากกว่า มีพิสัยการบินที่ไกลกว่า เรื่องนี้มีคำตอบ
เครื่องบินกริพเพน เป็นเครื่องบินเล็กแต่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี มีความคล่องตัวสูงสามารถใช้งานกับรันเวย์สั้นเพียง 800 เมตรได้ ง่ายต่อการออกปฏิบัติการ และมีต้นทุนปฏิบัติการต่ำเพียงแค่ 1.6 แสนบาทต่อชั่วโมง (F-16 มีต้นทุนปฏิบัติการ 2.7 แสนบาท/ชม. SU-30 มีต้นทุนปฏิบัติการ 4 แสนบาท/ชม.) รองรับขีปนาวุธ Metoer ที่ยิงได้ไกลกว่า 150 กิโลเมตร และยังมีระบบดาต้าลิงก์ที่ไทยสามารถนำมาพัฒนาและต่อยอดเองได้ นอกจากนี้ เครื่องบินกริพเพนยังบำรุงรักษาง่าย ถูกออกแบบมาให้ใช้ชิ้นส่วนที่น้อยลง ลดความซับซ้อนในการดูแล ง่ายต่อการนำออกมาใช้งาน และยังใช้เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินน้อยกว่าคู่แข่ง ทำให้กองทัพอากาศลดการใช้ทรัพยากรบุคคลและลดภาระด้านงบประมาณในระยะยาว
เครื่องบินกริพเพนอาจจะไม่ใช่เครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดหรือบรรทุกอาวุธได้มากที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้มันเป็นเครื่องบินที่ล้ำหน้าที่สุดในยุคนี้ คือเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อความคล่องตัว สามารถใช้เรดาร์ AESA ตรวจจับเป้าหมายได้ไกลถึง 200 กิโลเมตร และติดตามเป้าหมายได้หลายเป้าหมายแบบเรียลไทม์ ทั้งบนพื้น ทะเล หรืออากาศ และในทุกสภาพอากาศ โจมตีเป้าหมายได้ก่อนเห็นเรดาร์ เทคโนโลยีนี้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ F-35 ทำให้กริพเพนสามารถเฝ้าระวังและตอบโต้ภัยคุกคามได้อย่างแม่นยำ กริพเพนไม่ได้เป็นแค่เครื่องบินแต่ยังเป็นศูนย์กลางระบบเครือข่ายทางอากาศด้วยระบบ Data Link T สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับเครื่องบินลำอื่น ศูนย์ควบคุมภาคพื้นดิน และกองทัพเรือไทยได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ทำให้ไทยสามารถพัฒนาเครือข่ายแบบ Network Centric Warfare หรือแนวคิดการรบแบบเครือข่ายได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งด้วยความสามารถทำให้กองทัพอากาศตัดสินใจเลือกใช้กริพเพนเป็นเครื่องบินขับไล่โจมตี
อย่างไรก็ตาม เครื่องบินขับไล่กริพเพน ก็ยังมีจุดอ่อน เช่น มีผู้ใช้น้อยกว่า ยอดผลิตน้อยกว่า ทำให้อาจมีข้อกังวลด้านอะไหล่ในอนาคต และกริพเพนเองออกบินปฏิบัติการภายใต้กรอบของสหประชาชาติไม่กี่ครั้ง แต่ยังไม่เคยถูกใช้ในสนามรบจริง ต่างกับ F-16 ที่มีประสบการณ์และจุดเด่นชื่อเสียงในสงครามมายาวนาน นอกจากนี้กริพเพนยังใช้เทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาอยู่หลายด้านทำให้สวีเดนยังต้องขออนุญาตสหรัฐขายให้ไทย รวมถึงอาจมีข้อจำกัดการใช้งานอยู่บ้าง
กองทัพอากาศจัดแสดงการบินครั้งยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสครบรอบ 88 ปี ในวันที่ 7-8 มีนาคม 2568 ภายใต้แนวคิด “AIR SOVEREIGNTY THROUGH UNBEATABLE COLLABORATION” หรือ “อธิปไตยเหนือน่านฟ้า ผ่านความร่วมมืออันแข็งแกร่ง” ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของกองทัพอากาศในการปกป้องน่านฟ้า รักษาความมั่นคงของประเทศและการช่วยเหลือประชาชน รวมถึงการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายในประเทศ และชาติพันธมิตร
สำหรับไฮไลท์การแสดงการบิน (Air Show) ประกอบด้วย
ช่วงที่ 1 การบิน Formation พร้อมปล่อยควันสีธงชาติ โดยเครื่องบิน AU-23, T-50TH และเครื่องบิน F-16 ถัดมาเป็นการบิน Gripen Demo จากกองทัพอากาศไทย จากนั้นเป็นการบินของหมู่บินผาดแผลง August 1st โดยเครื่องบิน J-10 จากกองทัพอากาศสาธารณรัฐประชาชนจีน และปิดท้ายด้วย การบิน F-35A Demo จากกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา
ช่วงที่ 2 การบินของหมู่บินผาดแผลง Suryakiran โดยเครื่องบิน Hawk MK132 จากกองทัพอากาศสาธารณรัฐอินเดีย
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งแสดงอากาศยานภาคพื้น (Static Display) จากกองทัพอากาศไทย และกองทัพอากาศมิตรประเทศ ทั้งกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา กองทัพอากาศสาธารณรัฐอินเดีย กองทัพอากาศสาธารณรัฐประชาชนจีน และกองทัพอากาศสิงคโปร์ รวมทั้งการจัดแสดงนิทรรศการจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนอีกมากมาย
Advertisement