กรณีวันที่ 13 ต.ค. 64 สน.เพชรเกษม รับแจ้งว่าผู้ก่อเหตุทราบชื่อ นายณัฐวุฒิ พึ่งฤกษ์ดี หรือ บาส อายุ 21 ปี ได้ใช้อาวุธมีดสปาต้า ยาว 18 นิ้ว และอาวุธมีดปลายแหลมยาว 15 นิ้ว รวม 2 เล่ม ไล่แทงและฟันกลุ่มวัยรุ่นเจ้าถิ่นที่มารวมตัวกันหาเรื่องบริเวณหน้าบ้านพัก ในหมู่บ้านสุขสันต์ 6 ซอย 39 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงหลักสอง เขตบางแค กทม. มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ล่าสุด วันที่ 15 ต.ค. 64 ศาลได้อนุมัติให้ประกันตัวผู้ก่อเหตุ ด้วยหลักทรัพย์ 500,000 บาท
เฟซบุ๊กส่วนตัวของผู้ใช้งาน มีการโพสต์ระบายความในใจ ระบุว่า "สังคมนี้มองความฝ่ายเดียวจริงเนอะไอเหี้- คนแทงทำงานเคอรี่ที่เดียวกับเมียกู ไปท้าเค้าต่อยมั่วชั่วถ้าคนอื่นแทงมั่วชั่ว คนดีเหี้-ไรทำนิสัยแบบนี้รู้นิสัยคนแทงจริงๆก่อนค่อยพูด สาเหตุ ต้นเรื่องมันมาจากอะไร ให้รู้เรื่องก่อนค่อยพูดค่อยด่า ถ้าคน แทงไม่หาเรื่องเนี้ยไม่ปากดีไม่ด่าคนอื่นก่อน ไม่งั้นเค้าจะพา เพื่อนมาเคลียกันหน้าบ้านมั้ย ถ้าไม่มีต้นเรื่องแล้วเรื่องมันจะเกิดป่าว เค้าจะพาพวกมาถึงหน้าบ้านรึป่าวคิดเอา อยู่ดีๆฝั่ง คนตายจะมาถึงหน้าบ้านทำไมเพราะอะไรสมองอะ ผมไม่ได้ เข้าข้างใครทั้งนั้นไม่ใช่เพราะแถวบ้านหรืออะไร มองความจริง ด้วย แล้วคนตายก็ตายไปแล้วเลิกด่าเถอะเชื่อดิ."
ตรวจสอบโพสต์ดังกล่าว เป็นเพื่อนร่วมงานของนายณัฐวุฒิ ผู้ก่อเหตุ โดยนางสาวนิล (นามสมมติ) เปิดเผยว่า ตนเองได้มีการโพสต์เรื่องราวดังกล่าวเป็นเพราะต้องการอยากให้สังคมมอง 2 ด้าน เพราะในขณะที่บางคนกำลังเข้าข้างนายณัฐวุฒิ เป็นเพียงแค่บางมุมหรือการเสพคลิปแค่บางคลิป แต่สำหรับตนเองที่ได้สัมผัสได้รู้จักกับนายณัฐวุฒิในฐานะที่ทำงานด้วยกัน เป็นคนที่เงียบ ไม่สุงสิงกับใคร ลักษณะอาการเป็นคนเก็บกด มาทำงานก็จะทำหน้าเคร่งเครียด ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่ได้มีเพื่อนสนิทในที่ทำงาน ตนเองเคยเจอพฤติกรรมของนายณัฐวุฒิถูกหัวหน้างานตำหนิ เจ้าตัวก็ถึงขั้นพูดด้วยเสียงแข็งขึ้นมาว่า "แล้วพี่มีอะไรกับผม"
ก่อนหน้านี้ช่วงที่เขาไปทำงานช่วงแรกกับบริษัท นายณัฐวุฒิก็ไปมีเรื่องกับกลุ่มเพื่อนร่วมงาน ลักษณะไม่พอใจเกี่ยวกับการทำงานร่วมกัน ถึงขั้นไปท้ากันชกต่อย แบบตัว ๆ จากพฤติกรรมที่ตนเองเห็นในที่ทำงาน อยากจะให้สังคมเข้าใจว่าตัวของนายณัฐวุฒิมีพฤติกรรมอย่างไร ไม่ใช่มัวแต่เข้าข้างกันหรือเห็นใจกัน แต่ลืมนึกถึงการกระทำที่นายณัฐวุฒิมีการแทงคนตาย
ส่วนตัวยอมรับว่าการที่ตนเองเป็นเพื่อนร่วมงานกับนายณัฐวุฒิ แล้วก็มีเพื่อนที่รู้จักกันอยู่ฝั่งคนตาย ไม่ใช่เป็นการออกมาพูดเพื่อจะโยนความผิดให้เพียงแต่นายณัฐวุฒิ แต่ต้องการที่จะพูดในมุมที่ตนเองรู้จักและเห็นเท่านั้น เหตุการณ์วันดังกล่าวกลุ่มของอริต้องการที่จะเข้าไปเพื่อถามหรือเคลียร์ใจกันหลังจากที่เกิดเรื่องบริเวณสี่แยก ไม่ได้มีอาวุธ แต่ในทางกลับกัน นายณัฐวุฒิมีการใช้อาวุธมีดไล่ทำร้ายคนอื่น ที่สำคัญในบรรดากลุ่ม 6 คน ยอมรับว่าระหว่างนายณัฐวุฒิกับนายแซม คนที่ยืนตะโกนอยู่หน้าบ้าน และมีการเรียก "บาส บาส บาส" เป็นคนที่รู้จักและสนิทกับนายณัฐวุฒิ จึงเรียกชื่อให้ออกมาเคลียร์ใจกัน ดังนั้นก็ไม่ใช่ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่รู้จักกัน ในเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้จักกันทำไมไม่เคลียร์ใจกันและคุยกันด้วยดี
นอกจากนี้ พฤติกรรมของทั้ง 2 ฝ่าย แม้ว่าฝั่งของอริจะมีประวัติเรื่องของการติดคุกมาก่อน จึงทำให้สังคมมองว่าเป็นคนไม่ดี เป็นคนมีประวัติ แต่อย่าลืมว่าการก่อเหตุครั้งนี้ตัวของนายณัฐวุฒิเองก็มีการทำให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย อยากให้สังคมช่างน้ำหนักและดูถึงความเหมาะสม
สำหรับมุมกฎหมาย นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ เปิดเผยว่า กรณีน้องบาสใช้มีดแทงคู้อริ ตาย 2 ศพ และบาดเจ็บอีก 1 ราย เป็นเรื่องบันดาลโทสะ เปรียบเทียบกับลุงวิศวะ ยิงวัยรุ่นที่ จ.ชลบุรี แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะลุงวิศวะมีการไล่ติดตามไม่ขาดตอน แต่เคสของน้องบาส มีการหลบเข้าไปในบ้าน คู่กรณีมีการตามพวกมาที่บ้านน้องบาส แสดงว่าขาดตอนแล้ว
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ตายใช้คำยั่วยุ ด่าทอ ปาข้าวของเข้าไปในบ้าน ในมุมมองส่วนตัวทางกฎหมาย การป้องกันตัวต้องเป็นการป้องกันอันตรายในการละเมิดทางกฎหมาย และป้องกันอันตรายที่มาถึงตัว หมายถึงอันตรายต่อชีวิต แต่การที่ปาก้อนหินนอกบ้านเข้ามา มองว่า อันตรายยังห่างไกลตัว แต่ถ้าใช้ปืนเล็ง อันตรายใกล้ถึงตัวสามารถป้องกันตัวได้แน่นอน
เปรียบเทียบกรณีลุงวิศวะ ศาลฎีกาบอกว่าน้องปอนด์กับพวกเปิดประตูรถเข้ามาลุงวิศวะ ไม่มีทางหลบเลี่ยงหนีไปได้จึงใช้ปืนยิง แต่กรณีน้องบาสอยู่ในบ้าน ซึ่งคนตายไม่ได้บุกเข้ามาในบ้าน แล้วน้องบาสป้องกันตัว จึงไม่น่าจะเป็นอันตรายที่ใกล้ถึงตัว ตามหลักกฎหมายที่วินิจฉัยไว้
แต่การกระทำของผู้ก่อเหตุ และผู้ตายที่มารุมล้อมด่า และปาข้าวของเข้ามาในบ้าน จึงเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงอย่างไม่เป็นธรรม น้องบาสจึงบันดาลโทสะ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ จึงกระทำลงไปทันที จึงมองว่าพฤติกรรมแบบนี้เป็นการบันดาลโทสะ อดทนไม่ได้ เพราะถูกรังแก จึงออกไปชกต่อย และใช้มีดแทง จึงอ้างว่าป้องกันตัวไม่น่าจะอ้างได้ หากศาลฟังว่าบันดาลโทสะ ศาลอาจจะลงโทษอย่างน้อย ตามที่โทษกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ เพราะการฆ่าคนตายโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 15 ปี จนถึงประหารชีวิต ศาลอาจจะลงโทษจำคุก 2-5 ปี หรือรอลงอาญาก็เป็นได้
ด้าน ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงคดีนี้ว่า "น้องณัฐวุฒิ(เสื้อเหลือง) “ใจน้องได้ หัวใจนักสู เกินร้อย” นับถือๆ ครับ เมื่อถึงเวลา เราอาจเจอกัน สู้อย่าถอย พี่เอาใจช่วย ผมดูคลิปนี้ นึกถึง นายสมเกียรติ ศรีจันทร์ ชายขาพิการขายขนมปัง ที่ซอยโชคชัย 4 ซอย 69 ที่ถูก 7 โจ๋รุมฆ่าจนตาย น้องไม่ตาย แต่เกือบตาย สู้ๆ ✌️
ตำรวจอย่าลืมดำเนินคดี กับพวกที่รุมทำร้ายน้องณัฐวุฒิด้วยนะ หากไม่ดำเนินคดี อาจโดนข้อหาละเว้น ฯ ป.อาญา มาตรา 157 ผมดูอยู่นะ อย่าเลือกปฏิบัติ ? น้องสุดยอดนักสู้ ?? ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช"
ด้านทนายเจมส์ นายนิติธร แก้วโต โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กถึงคดีนี้เช่นกัน ระบุบางช่วงว่า "คดีหนุ่มเสื้อเหลืองแทง 2 ศพ จะอ้างป้องกัน น่าจะฟังไม่ขึ้น แต่ถ้าอ้างบันดาลโทสะ ก็น่าจะเป็นไปได้ครับ โดนด่า ท้าทาย โยนสิ่งของเข้าบ้าน โดนรุมตี 6 ต่อ 1 ก็ย่อมต้องโกรธเป็นธรรมดา
สุดท้ายอยู่ที่ดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาพยานหลักฐานทั้งปวง แต่โดยส่วนตัวคิดว่า หนุ่มเสื้อเหลืองจะได้รับความเมตตาจากศาล ด้วยการลงโทษสถานเบาครับ"
สำหรับข้อโต้แย้งที่พูดไม่ตรงกัน ระหว่างนายณัฐพล อริ ที่บอกว่า "เขาจ้วงแทงนายต้นซ้ำหลายครั้ง ตั้งใจเอาให้ตาย ไม่ใช่ป้องกันตัว" แต่นายณัฐวุฒิ ผู้ก่อเหตุ อ้างว่าแทงเพราะป้องกันตัวที่ถูกอีกฝ่ายมารุมบุกถึงบ้าน
ส่วนที่นายณัฐพล อริ อ้างว่า ไม่ได้ผลักเพื่อนให้เข้าไปถูกแทงและตายแทน แต่แม่ของผู้ก่อเหตุบอกว่า จากการถามลูกชายทราบว่าเขาผลักเพื่อนเป็นโล่กำบังให้มารับมีดแทน
ส่วนที่นายณัฐพล อริ อ้างว่ายกพวกมารุมบุกบ้านของนายบาสนั้น ต้องการมาเคลียร์และไม่มีเจตนาทำร้าย แต่ น.ส.เจน (นามสมติ) แฟนสาวของนายบาส ที่อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่า อีกฝ่ายมีการข่มขู่และพูดจาท้าทายก่อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดใจหนุ่มฆ่าแก๊งโจ๋ล้อมบ้าน 2 ศพ แค้นโดนต้อนเป็นหมา ลั่น "ไม่ฆ่ามันคนในบ้านก็ตาย" (คลิป)
- ก๊วนโจ๋ล้อมบ้านจี้ "น้องบาส" มาขมา 2 ศพ แฉถูกล็อกคอแทงทั้งที่ไปเป็นหมู่ (คลิป)
- หนุ่มเลือดขึ้นหน้ากะซวกแก๊งโจ๋ล้อมบ้านตาย 2 ศพ อริกราบเท้าครวญเข็ดแล้ว (คลิป)
Advertisement