จากกรณีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 พี่ชายแท้ ๆ "นายสำราญ นอกสระ" อายุ 76 ปี ลงมือฆ่าปาดคอน้องชายวัย 48 ปี ทราบชื่อ "นายระเบียบ นอกสระ" จนเสียชีวิตคาวงเหล้า ด้วยการใช้มีดถางหญ้าฟันเข้าที่ลำคอ มีชาวบ้านอีก 1 คน ที่ภรรยาของผู้ตายบอกว่าเห็นอยู่ในวงเหล้านี้ ก่อนที่ตนจะออกจากบ้าน แล้วกลับมาเจอสามีกลายเป็นศพคือ นายคำเหม๋า หรือ เจษฎา กิ่งมะนาว อายุ 38 ปี
แต่เมื่อวานนี้หลังควบคุมตัวทั้ง 2 คนมาได้ นายสำราญก็ยอมรับด้วยอาการมึนเมาว่าตนเป็นคนลงมือฆ่าน้องชายเอง และทำไปเพราะเมา ส่วนนายคำเหม๋าให้การภาคเสธ บอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่า แค่เห็นว่าทั้งคู่เมาแล้วทะเลาะชกต่อยกัน ตัวเองจึงห้ามด้วยการเอาด้ามเสียมตีเข้าไปที่ขาของนายสำราญเพื่อให้หยุดชกต่อยกัน แล้วหลังจากนั้นก็กลับบ้านไป มารู้อีกทีภายหลังว่านายระเบียบตายแล้ว
ล่าสุด วันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 เวลาประมาณ 16.20 น. นักงานสืบสวนสอบสวน สภ.บ้านเดื่อ จ.ชัยภูมิ ทำการสอบปากคำ นายสำราญและนายคำเหม๋าเสร็จ โดยใช้เวลากว่า 9 ชั่วโมง ตั้งแต่ 08.00-16.20 น. เนื่องจากนายคำเหม๋ามีอาการคล้ายผู้ป่วยทางจิต แต่ไม่มีใบรับรองแพทย์ จึงให้การวกไปวนมา บางครั้งก็บอกว่าตีขานายสำราญ บางครั้งก็บอกว่าตีขานายระเบียบ และบางครั้งก็บอกว่าเห็นเขาชกต่อยกัน แต่พอถามอีกไปถามมา บอกว่าไม่เห็นอะไรเลย จึงต้องรอให้นายสำราญสร่างเมาแล้วให้ปากคำแทน
ต่อมาในเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายสำราญ และนายคำเหม๋า ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุ โดยขณะที่เดินออกจากโรงพัก สีหน้าแววตาของนายสำราญดูอิดโรย เครียด เศร้าหมอง ส่วนนายคำเหม๋าก็ดูอิดโรยเช่นกัน
ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจะนำตัวผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คนขึ้นรถผู้ต้องหานั้น ด้านของนายบุญชู น้องชายของนายสำราญเข้าไปพยุงตัวพี่ชาย แล้วพยายามบอกว่าค่อย ๆ เดิน เพราะด้วยอายุวัย 76 ปี บวกกับเครียด กินข้าวไม่ได้ ทำให้เดินลำบากและเชื่องช้า เมื่อ นายบุญชูส่งพี่ชายขึ้นรถเสร็จ มีนัยตาที่เศร้า แต่พยายามยิ้มเพื่อไม่ให้พี่ชายเห็นว่าเป็นห่วง
เมื่อผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คนมาถึงจุดเกิดเหตุ บรรยากาศทำแผนเป็นไปตามปกติ ไม่มีชาวบ้านหรือครอบครัวของผู้ตายมาดู มีเพียงแค่หมาของนายคำเหม๋า 13 ตัว เดินตามและเห่าตลอดเวลา โดยนายสำราญ และนายคำเหม๋าบอกว่าขณะที่ตนกำลังนั่งกินเหล้าอยู่ด้วยกัน 3 คน ด้วยความเมา นายระเบียบก็ใช้ไม้ตีเข้าที่ข้างลำตัวของนายสำราญขณะที่กำลังถือแก้วเหล้า นายสำราญก็เลยโกรธ ลุกขึ้นถีบน้องชายจนกระเด็นไปนอนอยู่บนพื้น ห่างออกไปประมาณ 5 เมตร แล้วนายคำเหม๋าก็เดินไปหยิบเสียมที่วางอยู่ใกล้คนตาย ใช้ด้ามตีเข้าที่ขาขวาคนตาย 1 ครั้ง และใช้เสียมตีไปที่ศีรษะฝั่งซ้ายอีก 1 ครั้ง จากนั้นนายคำเหม๋าก็ขี่จักรยานกลับบ้านตัวเองไป
ในขณะที่นายสำราญที่ลุกไปเอามีดพร้าในครัว ซึ่งวางอยู่ติดกับที่นอน นายระเบียบก็ประคองตัวเองขยับไปนอนอยู่ใกล้กับเปลหรือจุดพบศพ แต่ยังไม่ตายยังหายใจแผ่วเบาอยู่ จากนั้นเมื่อนายสำราญได้มีด ก็เดินก้าวข้ามเปล เพื่อเข้าไปฟันคอคนตาย 1 ครั้ง จนคนตายขากระตุก แล้วก็ตายคาที่ หลังจากนั้นนายสำราญก็เอามีดไปถูกับทรายตรงทางเดินข้างบ้าน ห่างออกไป 10 เมตร เพื่อให้คราบเลือดหายไป แล้วไปล้างน้ำที่ครัว เดินถือมีดไปนอนแอบอยู่ที่ทุ่งนาหลังบ้าน ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร นอนอยู่ 25-30 นาที ก็รู้สึกว่ายุงกัด จากนั้นก็เลยลุกขึ้นแล้วเดินถือมีดไปเหน็บไว้ที่หลังคาบ้านคนตาย นึกขึ้นได้ว่ากลัวคนมาเห็น จึงดึงมีดออกมา ถือมีดเดินไปตามถนนผ่านบ้านชาวบ้าน เดินไปประมาณ 100 เมตร มีชาวบ้านมอง ก็เลยเดินตัดสินใจเดินย้อนกลับไปที่บ้าน จากนั้นก็เอามีดไปเหน็บไว้ที่หลังคาบ้านของคนตายอีกครั้ง มานั่งอยู่ที่กระท่อมเกิดเหตุจนตำรวจเข้ามาควบคุมตัว
นายสำราญ บอกว่า ตอนนั้นเมามาก จำได้แค่ว่าน้องชายใช้ไม้ตีตน ตนก็เลยถีบกลับไป 1 ที ก่อนที่จะไปเอามีดพร้ามาฟันคอ 1 ครั้งอย่างเต็มแรง จนคอน้องชายเกือบขาด ส่วนนายคำเหม๋าตนก็เห็นว่าใช้เสียมตีน้องชาย แล้วก็ปั่นจักรยานออกไป ยอมรับว่าตอนก่อเหตุ รู้ดีว่ากำลังทำร้ายน้องชาย แต่ถ้าตนไม่ทำ น้องชายก็คงจะทำตน แต่พอฆ่าเสร็จ ตนก็ก้มลงไปกราบศพ เพราะคิดว่าที่ตัวเองทำก็รุนแรงพอสมควรเหมือนกัน ซึ่งตอนนี้พอสร่างเมาก็คิดได้ว่า ถ้าจะเมาก็ควรเมาแค่เหล้า ไม่ควรทำอย่างอื่น หลังจากนี้ก็คงไม่ได้กินเหล้าแล้ว เพราะโดนตำรวจจับ แต่ถ้าหลุดออกมาก็จะกินอีก เพราะตัวเองคงหลาบจำยาก
อย่างไรก็ตาม จะได้พ้นโทษออกมากินเหล้าอีกไหม ก็คงไม่หวัง ปล่อยให้เป็นไปแล้วแต่เวรกรรม พร้อมกับขอบอกดวงวิญญาณน้องชายว่า "ให้ไปที่ชอบ ถ้าวันนั้นพี่ไม่ฆ่ามึง มึงก็ฆ่ากู วันนี้ฆ่าไปแล้ว ก็ไปที่ชอบซะ ไปสู่สวรรค์" และอยากขอโทษครอบครัวคนตายไว้ตรงนี้ด้วย ตนอยากไปกราบขอขมาศพน้องชาย แต่ก็กลัวจะโดนทำร้ายเหมือนกัน จึงเอ่ยปากขอเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าตนสามารถไปกราบขอขมาศพน้องชายได้ไหม แต่ด้วยกระบวนการทางกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถอนุญาตได้ เพราะเกรงว่าตนจะได้รับอันตราย
สุดท้าย ตนมีหมาอยู่ทั้งหมด 13 ตัว ก็อยากจะฝากบอกเพื่อนบ้านให้ช่วยเอาข้าวช่วยเลี้ยงดูหมาแทนตนด้วย เพราะว่าตนรักเหมือนลูก อยากบอกหมาว่า "พ่อไปก่อนนะ"
นายคำเหม๋า หลังทำแผนเสร็จในเวลาประมาณ 17.00 น. บอกว่า ที่ตนโดนข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนานั้น ส่วนตัวยืนยันว่าตนไม่ได้มีเจตนาฆ่า หรือตั้งใจลงมือตีให้ผู้ตายเสียชีวิต เพียงแค่ต้องการจะให้ทั้งคู่หยุดทะเลาะกันก็เท่านั้น ก็เลยตีขานายระเบียบให้ล้มลง หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย แต่ที่เห็นว่าคนตายเลือดออกเยอะ เพราะกินเหล้าเยอะมาก
นายคำเหม๋า บอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่าไม่เครียด เพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจฆ่า แค่สั่งสอนก็เท่านั้น แต่เรื่องของคดีความ ขึ้นอยู่กับพ่อแม่อีกที เพราะรู้ว่าตอนนี้เขาคงเสียใจ อาจจะเป็นไปได้ว่าพรุ่งนี้เขาจะไปเยี่ยมตนในเรือนจำ ส่วนเรื่องของการประกันตัว จริง ๆ ก็อยากได้รับการประกัน แต่ถ้าแม่ไม่มีเงิน ก็ไม่ต้องประกันก็ได้ พร้อมขอโทษไปยังคนตาย และครอบครัวของคนตายด้วย
นายบุญชู นอกสระ อายุ 64 ปี เป็นน้องชายของนายสำราญ ผู้ก่อเหตุ และเป็นพี่ชายของนายระเบียบ ผู้ตาย หลังทราบข่าวเมื่อกลางคืนที่ผ่านว่าพี่ชายฆ่าน้องชายตาย เจ้าตัวซึ่งอยู่หมู่บ้านใกล้กัน ก็ซื้อข้าวมันไก่กับน้ำเปล่ามาเยี่ยมตั้งแต่เช้า
นายบุญชู บอกว่า ครอบครัวตนมีพี่น้องทั้งหมด 7 คน คนที่ 1 เป็นผู้ชาย เสียชีวิตแล้ว ผู้ก่อเหตุเป็นคนที่ 2 ตัวเองเป็นคนที่ 3 คนที่ 4 เป็นผู้หญิง เสียชีวิตแล้ว คนที่ 5 และ 6 เป็นผู้ชาย ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนคนตายเป็นคนที่ 7 ซึ่งพ่อแม่เสียชีวิตไปหมดแล้ว โดยนายสำราญอยู่ตัวคนเดียว เนื่องจากภรรยาก็หย่าร้างแยกทางกันไปหลายปีแล้ว ส่วนลูกสาวที่มีด้วยกันก็ไปมีสามีเป็นชาวต่างชาติ ไม่ค่อยได้ติดต่อมานานแล้ว ดังนั้นครอบครัวที่เหลืออยู่ก็คือเหล่าบรรดาน้องชาย
ตนยอมรับเลยว่าวินาทีที่ได้ยินข่าวก็เสียใจมาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเหมือนกัน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันน่าสลดใจตรงที่ผู้ตายคือน้องชายตน ส่วนผู้ก่อเหตุก็คือพี่ชายตน แม้ว่าที่ผ่านมาตนจะรับรู้ว่าทั้งคู่ชอบดื่มเหล้าแล้วมีปากเสียงทะเลาะกันเป็นประจำ แต่ทุกครั้ง พอสร่างเมาก็จบกันด้วยดี ไม่ถึงขั้นที่ต้องฆ่าแกงกันขนาดนี้ กลายเป็นว่านี่ถือเป็นครั้งแรกที่ครอบครัวตนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะก่อนหน้านี้ครอบครัวตนรวมถึงนายสำราญไม่เคยมีคดีความ
สิ่งที่นายสำราญสามารถรับผิดชอบต่อครอบครัวผู้สูญเสียได้ก็คือการได้รับโทษตามกฎหมาย ส่วนเรื่องของการประกันตัวนั้น ลำพังตนเองก็ไม่ได้มีเงิน คงจะต้องปรึกษาพี่น้องที่เหลืออยู่อีกรอบ แต่อย่างหนึ่งที่อยากให้นายสำราญไปกราบศพขอขมาน้องชาย กล่าวคำขอโทษต่อครอบครัว สุดท้ายนี้ ตนยังคงทำใจไม่ได้ แต่ก็จะพยายามทำใจให้ได้มากที่สุด และอยากยกให้กรณีเป็นอุทาหรณ์สำหรับสังคม สำหรับคนที่ชอบดื่มเหล้าแล้วเมามีปัญหาทะเลาะกัน ให้ดูว่าผลสุดท้ายของการเมาเหล้าเป็นอย่างไร อย่าเอาเยี่ยงอย่าง
เบื้องต้น นายสำราญก็ยอมรับสารภาพว่าตนเป็นคนลงมือฆ่าน้องชายจริง โดยเมื่อวานนี้ ทั้ง 3 คนนั่งดื่มเหล้ากันตั้งแต่หัวรุ่ง ประมาณ 5-6 โมงเช้า แล้วพอเหล้าขวดแรกหมด นายคำเหม๋าก็ปั่นจักรยานออกไปซื้อเหล้าขาวขวดที่ 2 ในร้านค้าของปั๊มน้ำมัน ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 500 เมตร เวลาที่ปรากฎในกล้องวงจรปิด คือช่วง 07.01-07.02 น. ซื้อเสร็จก็กลับมาถึงจุดเกิดเหตุตอนประมาณ 07.15 น. หลังจากนั้นทั้ง 3 คนก็นั่งดื่มเหล้ากัน ก็มีอาการมึนเมา แล้วเกิดปากเสียกันและก่อเหตุขึ้น
Advertisement