ติดยา มั่วเซ็กซ์ ติด HIV ชีวิตที่เลือกทางผิดของเกิ้ล ประทาน ประทุมมาศ สาวประเภทสองวัย 42 ปี ที่เรื่องราวชีวิตของเธอขออุทิศเป็นบทเรียนเพื่อคนอื่น
ชีวิตที่เลือกทางผิดในวัย 18 เพราะ "อยากมีเงิน"
ก่อนหน้านี้พี่ก็เป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป แล้วจับผลัดจับผลูไปทำงานกลางคืน งานพวก Sex Worker ก็คือการขายบริการ ตอนอายุประมาณ 18 ปี ด้วยความที่เราเป็นเด็กยากจน เราอยากได้เงิน เห็นคนอื่นไปทำแล้วได้เงินง่ายเราก็อยากทำบ้าง ก็เลยได้ทำอาชีพนั้นมาเรื่อยๆ แน่นอนแหละว่าเงินมันดีกว่าการทำงานประจำทั่วไปที่เราได้หลักพันต่อเดือน แต่พอเรามาขายบริการ เราได้เงินหลักพันในแค่คืนเดียว มันก็เลยยั่วยวนทำให้เราออกมายาก
จุดเปลี่ยนออกจาก Sex Worker เพราะคาบาเรต์ แต่ก็พังเพราะยาเสพติด
จนวันหนึ่งเราเกิดรักงานคาบาเรต์ขึ้นมา เราก็เลยหยุดที่จะทำงานขายบริการแล้วก็จริงจังกับงานคาบาเรต์มากขึ้นจากแดนซ์เซอร์ก็เปลี่ยนตัวเองมาเป็นนางโชว์ หลังจากนั้นเราเริ่มเข้าสู่วงการยาเสพติด เพราะว่าการนั่งปักชุดการทำอุปกรณ์ในการโชว์มันจำเป็นที่จะต้องใช้ฟีลลิ่ง ใช้ความขยัน แต่ตัวเราก็จะง่วงเร็วง่วงไว เพื่อนที่เป็นรูมเมทก็เลยแนะนำให้เราเริ่มใช้ยาเสพติด
ตอนนั้นที่เพื่อนแนะนำเราก็ยังไม่อยากใช้ เพราะเรารู้ว่ายาเสพติดมันไม่ดี แต่ด้วยความที่เราเป็นรูมเมทกันแล้วมันเกิดการที่เพื่อนมายืมเงินเรา แล้วเราเริ่มรู้สึกว่าเราโดนเอาเปรียบเรื่อยๆ มันก็มีความรู้สึกว่า มึงต้องคืนมาให้กูบ้างนะ แต่เพื่อนเลือกที่จะพูดกับเราว่า "ไม่มีเงิน แต่ตอนนี้เรามีของอยู่"
จุดเริ่มที่ทำให้ให้เกิ้ล เริ่มทดลองใช้ยาเสพติดอย่างจริงจัง จนถึงขั้นติด
ตอนนั้นเรารู้สึกว่ามันไม่ได้แล้ว เราเสียเปรียบมามากแล้ว เราก็เลยลองเป็นครั้งแรกที่ลองยาเสพติด แล้วเรารู้สึกว่าเราขยันมากขึ้น ปักชุดปักได้เร็วมาก เราก็เริ่มมีความรู้สึกติดใจมันและใช้มันมาเรื่อยๆ ในการทำงานตรงนี้
ตอนแรกเราเข้าใจว่าเราไม่ติด เราเข้าใจแค่ว่ามันช่วยให้เราทำงานได้เร็วได้ไวขึ้น เราไม่ได้เล่นไม่ได้ใช้ทุกวันเราไม่ติดหรอก เราบอกกับตัวเองอย่างนี้เสมอมา แต่จริงๆ แล้วในสายตาคนอื่นมอง เราติดยานะ เราอยู่กับมันมาเป็น 10 ปี จากเล็กๆ น้อยๆ มันพัฒนามากขึ้น กลายเป็นว่าเราหามันมาเองและใช้ทุกวัน
จากใช้เพื่อให้ทำงาน เป็นใช้เพื่อ "มีเพศสัมพันธ์" และกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ
แรกๆ จากที่เราใช้มันเพื่อในการทำงาน เราเริ่มเปลี่ยนตัวเองใช้ในการมีเพศสัมพันธ์ จากคนที่ขยันนั่งปักชุดมันเปลี่ยนกลายเป็นว่าเรามีความต้องการทางเพศมากขึ้น แล้วหลังๆ จากการเสพปกติเราเริ่มใช้เป็นเข็มฉีดยา และเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น ไม่ใช่แค่คนสองคน
มันไม่มีเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรอก เพราะว่ามันไม่ใช่ของดี หลังจากที่เราเริ่มรู้จักมัน เราเริ่มสูญเสียคนรอบข้างมากขึ้น สูญเสียตัวตนของตัวเอง เราเริ่มเป็นใครก็ไม่รู้ที่นั่งจับเจ่าอยู่กับตัวคนเดียวในห้อง มันเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนกล้าในสิ่งที่ไม่ควรกล้า เช่น กล้าเดินไปทักคนแปลกหน้าเพื่อที่จะขอมีเพศสัมพันธ์ กล้าที่จะเดินออกไปในที่มืดที่ไหนก็ได้ที่เราคิดว่าจะต้องมีผู้ชายสักคนมาตอบสนองเราได้
มันแย่มากจากคนที่เคยมองหน้าคนอื่นด้วยความสดใสด้วยความสนุกสนาน กลับกลายเป็นว่าเวลาเราเสพยาตัวนี้เข้าไปมากๆ เรากลายเป็นคนหลบสายตาคน ไม่กล้าคุยกับใครมันเหมือนมีชนักปักหลังว่าเราทำความผิด เรากลัวคนรู้
จุดเปลี่ยนเลิกยาแบบหักดิบ เพราะสมเพชตัวเอง
เกิ้ล เล่าถึงจุดเปลี่ยนในการเลิกใช้ยานรก เพราะสมเพชสภาพตัวเองที่มองเห็นจากจอเล็กๆ
วันสุดท้ายที่เราใช้มัน เราตั้งกล้องโทรศัพท์แล้วถ่ายคลิปวิดีโอของตัวเองตอนที่เรากำลังทำสิ่งนั้น ใช้สายหูฟังพันแขนตัวเอง ปากกัดเชือก แล้วจิ้มเข็มลงที่แขนตัวเอง พอมานั่งดูคลิปวิดีโอแล้วเราเกิดความสมเพชในตัวเอง รู้สึกว่ามันแย่มาก สภาพมันดูไม่ได้เลย ขนาดเราดูตัวเองเรายังรู้สึกว่ามันน่าเกลียด คนรอบข้างก็คงคิดแบบเรา เวลาเห็นสภาพเราเดินออกไปข้างนอก ไม่ต้องอธิบายให้ใครรู้เลยว่าเราเล่นหรือไม่เล่นยา แต่คนมองดูออกอยู่แล้ว
ก็เลยเลิกเลย หักดิบเลยหลังจากนั้นไม่แตะเลย ทำได้ยังไงก็งงตัวเองเหมือนกัน มีความคิดเดียวคือเลิกเลยไม่เอาอีกแล้ว เราสงสารตัวเอง สงสารคนรอบข้าง สงสารเพื่อนๆ เราสูญเสียคนรอบข้างไปเยอะมาก โอกาสดีๆ เราก็สูญเสียมันไป มันทำให้เราเข็ดมากกว่า
ชีวิตของเกิ้ลดูเหมือนจะกลับมาเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นหลังจากเลิกยุ่งกับยาเสพติด แต่ทว่าโชคชะตาก็ไม่หยุดเล่นตลกกับชีวิตของเธอ ยังส่งโรคร้ายมาให้เป็นของขวัญ ผลจากการใช้ชีวิตเกินคุ้มในช่วงวัยรุ่น
วันหนึ่งเราเกิดทรุด มีอาการตัวร้อนๆ หนาวๆ แล้วเป็นอย่างนี้ประมาณหนึ่งเดือน ตกเย็นปุ๊บพอขึ้นบีทีเอสโดนแอร์เราจะหนาวสั่น หนาวไปถึงกระดูก พอช่วงกลางวันร่างกายเราจะปกติ เรารู้สึกไม่ไหวก็เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาล
ตอนแรกหมอวินิจฉัยว่าเรามีอาการน้ำท่วมปอด ก็ให้แอดมิตอยู่ที่โรงพยาบาลไม่กี่วัน แล้วคุณหมอก็ให้เริ่มกินยาที่ใช้รักษาวัณโรค จนวันที่ต้องออกจากโรงพยาบาลคุณหมอก็ให้ไปห้องๆ หนึ่ง ซึ่งปกติเวลาออกจากโรงพยาบาลเราจะไปห้องรับยาจ่ายตังค์แล้วก็กลับบ้านเลยใช่ไหม ตอนนั้นเราก็เริ่มเอ๊ะในใจแล้วว่า มันจะมีอะไรนอกเหนือจากน้ำท่วมปอดหรือเปล่า?
คุณหมอก็ถามเราก่อนว่า "รู้จักโรค HIV ไหม ถ้าหมอบอกว่าคุณป่วยเป็นโรคนี้คุณจะทำยังไง?"
เราก็เลยตอบไปว่า "ก็ไม่ทำยังไงค่ะ ในเมื่อถ้าเป็นก็แค่รักษา" ตอนนั้นเราตอบคุณหมอด้วยความที่เราไม่มีความรู้เรื่องโรคนี้เลยนะ ตอบเหมือนคนเก่งคนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ในใจมันร้าวมาก มันแย่ไปหมด ไม่คิดว่าเราจะแจ๊กพอตเร็วขนาดนั้น ตอนนั้นเราเพิ่ง 20 กว่าเอง
กลัวตาย กลัวแม่เสียใจ คือความรู้สึกแรกในตอนนั้น
กลัวตายอย่างแรกเลย ตอนนั้นเสียใจที่ทำให้แม่ต้องรู้สึกเสียใจแน่เลย ก่อนหน้านี้เราเคยคุยกับแม่อยู่แล้วเกี่ยวกับคนเป็นโรคนี้ เพราะว่าตอนที่เราขายบริการ แม่ก็รู้ เคยคุยว่าถ้าวันนึงหนูพลาดเป็นโรคนี้ขึ้นมา แม่จะทำยังไง เขาก็ให้กำลังใจเรามาตลอด แต่จนวันที่มันเป็นขึ้นมาจริงๆ ความรู้สึกมันแย่กว่าวันที่เราคุยกันเล่นๆ เยอะเลย ตอนนั้นเราโทษตัวเองหนักมากนะว่าทำไมเราใช้ชีวิตประมาทแบบนี้ ด้วยความที่ยุคนั้นเป็นยุคที่เราเฟื่องฟู เราหาเงินได้เยอะมาก มันทำให้เราหลงระเริงไปกับเรื่องพวกนั้น ก็โทษตัวเอง..โกรธตัวเองแหละ
สารภาพเลยว่าช่วงแรกรู้สึกแย่มาก ถึงเคยคิดอยากจะฆ่าตัวตาย เป็นโรคซึมเศร้าไปพักนึงด้วย กลัวด้วยเราทำให้คนอื่นเสียใจด้วย ตัวเราเองเสียใจด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างมันย้อนกลับมาหมดเลยนะว่า เพื่อนดีๆ โอกาสดีๆ ที่เราสูญเสียไป คนที่ตัดสินใจเลิกคบกับเราเพราะเรากลายเป็นคนติดยา
ให้อภัยตัวเองและเอาตัวเองเป็นบทเรียน เตือนสติคนอื่นไม่ให้หลงผิดแบบที่ตัวเองเคยพลาด
เคยโกรธตัวเองนะ แต่ก็ให้อภัยตัวเองไปแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้เลยมันถึงทำให้เกิ้ลมีวันที่คิดอยากจะมาเผยแพร่เรื่องราวของตัวเอง เพื่อให้คนอื่นคอยระมัดระวังตัว เป็นแล้วมันไม่ได้สนุกนะ เป็นแล้วมันต้องมานั่งกินยาทุกวันเราก็เลยไม่อยากให้ใครที่หลงผิดแล้วก็พลาดแบบเรา
เอาจริงๆ ทุกคนที่ทำความผิดไม่ว่าเรื่องอะไร ทุกคนอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไข แต่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ไง เราก็เลยไม่เคยคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราอยากจะแก้ไขตัวเองไหม แม้แต่ตอนนี้เราไม่มีคำตอบว่าถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้ เราจะแก้ไขไหม
ก้าวต่อด้วยกำลังใจจากตัวเอง และใช้ชีวิตต่อให้ดีที่สุด
มันไม่มีใครที่จะให้กำลังใจได้ดีเท่ากับตัวเราเอง เราคอยบอกตัวเองเสมอ เรารู้นะว่าเราไม่ได้เป็นคนเก่ง ไม่ใช่คนสวย แต่ทุกครั้งที่เราตื่นมา เราก็จะชมตัวเองเสมอว่า วันนี้ฉันสวยจังเลย วันนี้ฉันแต่งตัวดี คือไม่ต้องมาชมฉันก็ได้ ฉันชมตัวเองก็ได้
ชีวิตตอนนี้มีความสุขมาก เราอยู่ร่วมกับมันแล้วเราก็อยู่ร่วมกับสังคมได้ ตอนนี้สังคมเปิดกว้างมากสำหรับคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ทุกคนมีความเข้าใจมากขึ้น ทุกคนให้กำลังใจดีมาก จากที่เมื่อก่อนเราต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าบอกใคร เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวประหลาด แต่ในเมื่อวันหนึ่งที่เราออกมานั่งพูดแล้วรู้สึกว่า ถ้าเราทำตัวหลบๆซ่อนๆ มันก็ยิ่งเป็นตัวประหลาดมากขึ้นอยากเป็นคนปกติก็ทำตัวปกติแค่นั้นเอง
อยากขอบคุณมากๆ อยากขอบคุณจริงๆ หลายคนที่ติดตามเราเขาได้มุมมองอีกมุมมองหนึ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่า ในแวดวงยาเสพติดหรือคนที่ไม่เคยเข้าใจในผู้ป่วย HIV คนพวกนี้คอยซัพพอร์ตคอยให้กำลังใจเรา ขอบคุณในเรื่องราวของเรา มันทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจมากในการที่จะทำต่อไป
การใช้ชีวิตอยู่เรามีกำลังใจในตัวจากตัวเราเองแล้วแหละ เราต้องสร้างกำลังใจของเราเองอยู่แล้ว แต่กำลังใจอีกอย่างที่ทำให้เรารู้สึกอยากออกมาพูดเพื่อสังคม ออกมาพูดแทนคนที่มีเชื้อ HIV คนอื่นๆ มันทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น
เกิ้ลเชื่อว่าคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง คนที่มีความมั่นใจเป็นของตัวเองมากๆ แล้วกำลังเดินอยู่บนเส้นทางนั้น เกิ้ลเชื่อเลยว่าไม่ว่าใครจะพูดอะไร ดีมากน้อยแค่ไหน เขาจะไม่รับเขาจะต่อต้าน ถ้าคุณอยากที่จะกลับมาเป็นตัวของตัวเอง กลับมาสามารถมองหน้าคนอื่นได้อย่างเต็มตา ก็เลิกได้ก็เลิกเถอะ ถ้ามันดีจริงคนอย่างเกิ้ลก็คงยังไม่เลิกมัน มันมีแต่ข้อเสีย วันนี้นอกจากฟันที่มันสูญเสียไป กระดูก ทุกอย่างมันผุมันกร่อน เกิ้ลใช้อันนี้เป็นเครื่องเตือนใจเกิ้ลว่าอย่ากลับไปอีกนะ มันไม่ดี
เกิ้ล ยังกล่าวทิ้งท้ายเป็นการส่งกำลังใจให้คนที่กำลังหลงผิดด้วยว่า "ถ้าใครเลิกได้ อยากที่จะเลิก ก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ เพราะว่ามันดีกับตัวคุณเองเรามานั่งพูดอย่างนี้มันไม่ได้อะไรกับตัวเราหรอก มันได้กับตัวคุณเองทั้งนั้นล้วนๆ ค่ะ "
Advertisement