เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 65 ตำรวจ สภ.เมืองตรัง รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 ราย บริเวณหน้าโรงยิมเนเซียม 4,000 ที่นั่ง สนามกีฬาทุ่งแจ้ง ต.บางรัก เขตรอยต่อ ต.ทับเที่ยง เขตเทศบาลนครตรัง
ที่เกิดเหตุบริเวณหน้าโรงยิมดังกล่าว พบนายกิตติศักดิ์ หรือ เบส อายุ 16 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ เข้าที่ต้นคอจำนวน 1 นัด กระสุนฝังใน เจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาล
จากการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ให้การว่า หลังจากโรงเรียนเลิก นายกิตติศักดิ์ผู้บาดเจ็บได้ขี่รถจักรยานยนต์พาเพื่อนซ้ายท้ายมาจอดหน้าโรงยิมเนเซียม
ระหว่างนั้นนายกิตติศักดิ์ได้เดินลงมานั่งก้มเล่นโทรศัพท์มือถือบนขอบปูนทางเท้า โดยที่เพื่อนที่มาด้วยนั่งอยู่บนรถ ต่อมาได้มีกลุ่มคนร้ายเป็นชายวัยรุ่นจำนวน 2 ราย สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว คนขับสวมหมวกกันน็อกเต็มใบ ขี่รถ จยย.ฮอนด้า พีซีเอ็กซ์ สีขาว ไม่ทะเบียนทะมาจอดห่างจากคนเจ็บประมาณ 5 เมตร ก่อนที่คนซ้อนท้ายซึ่งไม่ปิดบังใบหน้าสวมเพียงหน้ากางอนามัยจะเดินลงจากรถ ใช้อาวุธปืนจ่อยิงที่ต้นคอของนายกิตติศักดิ์ทันที 1 นัด ก่อนที่คนร้ายจะรีบขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป
ต่อมาคนร้ายที่ขี่รถจักรยานยนต์ไปยิงนั้น 2 ราย ได้ติดต่อเข้ามอบตัวกับตำรวจ สภ.เมืองตรังแล้ว ซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 16 ปี ชื่อนายแบงค์ เป็นคนขี่รถจักรยารยนต์พา เด็กชายแดง (นามสมมติ) อายุเพียง 14 ปี ซึ่งเป็นมือปืนไปก่อเหตุ โดยผู้ปกครองได้ติดต่อกับตำรวจเพื่อเข้ามอบตัว
ขณะเดียวกันวันนี้ หลังจากเด็กทั้ง 2 คนที่ก่อเหตุเข้ามอบตัวกับตำรวจ ตำรวจแจ้งข้อหาทั้งสองคน 3 ข้อหา คือ ร่วมกันพยายามฆ่า, มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และ ยิงปืนในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร
ซึ่งต่อมาในช่วงบ่าย ตำรวจได้ส่งตัวเยาวชนทั้งสองคนไปที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดตรัง จากนั้นช่วงเย็นที่ผ่านมา ศาลได้พิจารณาให้ประกันตัวนายแบงค์ อายุ 16 ปี ซึ่งเป็นคนขี่รถจักรยานยนต์ โดยวางหลักทรัพย์ 1 แสนบาท ส่วนเด็กชายแดง ทางครอบครัวของเด็กชายแดง ค่อนข้างมีฐานะยากจน จึงไม่ได้ขอยื่นประกันตัวเด็กชายแดง และส่งตัวเข้าสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดตรังทันที
ล่าสุด วันที่ 25 ส.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางไปจุดเกิดเหตุ บริเวณโรงยิมเนเซียม สนามกีฬาทุ่งแจ้ง ในเขตเทศบาลเมืองตรัง ภาพจากกล้องวงจรปิดวินาทียิง เวลาประมาณ 16.20.47 น. จะเห็นรถจักรยานยนต์ PCX สีดำ ของนายแบงค์ อายุ 16 ปี ได้พาเพื่อน คือเด็กชายแดง อายุ 14 ปี มือปืน ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ขี่มาทางด้านหลังของโรงยิม จากนั้นเด็กชายแดง ได้ยกมือชี้ไปที่หน้าโรงยิม เพื่อชี้พิกัดว่านายกิตติศักดิ์ คู่อรินั่งอยู่ตรงนั้น
จากนั้นคลิปตัวที่ 2 เห็นนายแบงค์ ค่อย ๆ ขี่รถจักรยานยนต์ไปจอดด้านหน้าโรงยิม โดยเด็กชายแดงได้ลงจากรถอย่างใจเย็นและชักอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ที่พกติดตัวมาด้วย จ่อยิงเข้าที่ต้นคอของนายกิตติศักดิ์ 1 นัดทันที จากนั้นเด็กชายแดงจึงรีบวิ่งกระโดดขึ้นรถจักรยานยนต์เพื่อนหลบหนีออกไป
จากนั้นคลิปตัวที่ 3 หลังเกิดเหตุประมาณ 15 นาที ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ และนำตัวนายกิตติศักดิ์ส่งโรงพยาบาล พร้อมกับปิดกั้นพื้นที่เกิดเหตุทันที
นายศักดิ์ น้าชายของเด็กชายแดง มือปืน เปิดใจว่า พ่อแม่ของเด็กชายแดงได้แยกทางกันตั้งแต่เด็ก ทำให้เด็กชายแดงต้องอาศัยอยู่กับคุณยาย ซึ่งเป็นแม่ของตนเอง วันเกิดเหตุหลังจากหลานชายตนเองไปก่อเหตุยิงคู่อริ ได้เดินทางกลับมาที่บ้าน และร้องไห้ ก่อนจะเข้าไปหอมแก้มยาย บอกยายว่า “ผมไปยิงคนมา” ซึ่งยายก็ได้ถามต่อว่า “แล้วหนูไปยิงเขาทำไม” ก่อนจะโทรศัพท์แจ้งให้ตนเองพาหลานชายไปมอบตัวกับตำรวจ
ซึ่งหลานชายระหว่างที่ตนเองพาไปมอบตัวกับตำรวจ บอกเหตุผลที่ต้องไปยิงคู่อริ เนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อ 5 วันก่อน หลานชายได้ถูกกลุ่มเพื่อนของนายกิตติศักดิ์ ผู้บาดเจ็บ เตะและทำร้ายร่างกาย และพยายามจะใช้มีดแทง โชคดีที่หลานชายจับมือปัดมีดหนีมาได้ทัน ต่อมาในวันถัดไปหลานชายได้ไปเจอกับนายกิตติศักดิ์และกลุ่มคู่อริอีกครั้ง โดยนายกิตติศักดิ์และได้พูดข่มขู่ว่า “ระวังไว้จะตายไม่รู้ตัว” ทำให้หลานชายเกิดความเครียด และแค้นใจกลัวว่าจะถูกดักทำร้ายก่อน
จนกระทั่งเมื่อวานนี้วันเกิดเหตุหลานชายได้ขี่รถซ้อนท้ายมากับเพื่อนเพื่อมาดูสาว ๆ ที่หน้าโรงเรียนฝั่งตรงข้ามที่เกิดเหตุ พบเจอกับนายกิตติศักดิ์พอดี จึงได้บอกเพื่อนให้ขี่รถจักรยานยนต์ไปหา และใช้อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ที่หลานชายประดิษฐ์ขึ้นมาเอง ยิงไป 1 นัด ซึ่งหลานชายบอกกับตนเองว่า “หากผมไม่ยิงมันก่อน มันก็จะยิงผม” คาดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลานชายทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ และด้วยความเป็นเด็ก ยังยับยั้งอารมณ์ตัวเองไม่ได้จึงทำไปโดยไม่ได้คิดถึงพ่อแม่หรือคนที่รัก
นางปราณี โพชสาลี อายุ 50 ปี แม่ของน้องกิตติศักดิ์ ที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ เล่าทั้งน้ำตาว่า ตอนนี้อาการลูกชายแย่ลงเรื่อย ๆ กระสุนฝังในเพราะถูกยิงเข้าท้ายทอย กระสุนถูกเส้นประสาท ทำให้ร่างกายตั้งแต่ช่วงคอลงไปไม่รู้สึกตัวแล้ว ร่างกายขยับไม่ได้ โดยหมอบอกให้เลือกระหว่าง ยอมให้ส่งลูกชายไปผ่าตัดที่โรงพยาบาบ มอ.หาดใหญ่ ซึ่งอาจจะมีโอกาสเกิดปาฎิหาริย์ลูกชายรอด แต่หากรอดมาได้ ลูกก็จะเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดชีวิต
หากไม่ส่งไปผ่าตัดภายในคืนนี้ ซึ่งโรงพยาบาลตรังไม่สามารถผ่าตัดเคสนี้ได้ เพราะเป็นเคสหนัก หมอจะฉีดยากระตุ้นให้ลูกชายอีก 1 เข็ม เพื่อยื้อชีวิตลูกชายในคืนนี้ ตอนนี้ลูกชายอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจและยากระตุ้น ตอนนี้ตนเองสับสนมาก ทำใจไม่ได้ ที่จะยอมให้ลูกตาย แต่ก็ไม่อยากให้ลูกต้องเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดชีวิต ตนพยายามทำใจไว้แล้ว ไม่อยากให้ลูกชายทรมาน คืนนี้อาจจะไม่อยู่แล้ว
นอกจากนี้ ลางสังหรณ์ก่อนจะเกิดเรื่อง 3 วันก่อนที่ลูกชายจะถูกยิง ตนเองได้ทะเลาะกับลูกชายหนักมาก เพราะตนเองได้ต่อว่าลูกชายที่ชอบออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อยเกินไป เพราะข่าวสมัยนี้เด็ก ๆ แค่มองหน้ากันก็มีเรื่องได้แล้ว แต่ตอนนั้นลูกชายไม่ฟัง ก็ยังคงออกไปเที่ยว กระทั่งเช้าก่อนเกิดเหตุไม่รู้ว่าตาฝาดหรือไม่ ตนเองเห็นร่างของลูกชายขณะที่กำลังจะเดินไปขี่รถมอเตอร์ไซค์จะออกจากบ้านไปเที่ยวกับเพื่อน ตนเองเห็นร่างของลูกชายเป็นเงาดำ สูง ทั้งที่เป็นเวลากลางวัน ตอนนั้นยังพูดกับญาติเลยว่ารู้สึกใจไม่ดีแปลก ๆ กระทั่งช่วงบ่ายมาได้ยินข่าวว่าลูกชายถูกยิงหัว ตนเองแทบหัวใจสลาย ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่พยายามเตือนลูกชา จะมาเกิดขึ้นกับลูก อยากขอให้ครอบครัวเด็ก 14 ที่ยิงลูกชายให้มาดูสภาพของลูกชายตอนนี้ อยากให้ครอบครัวเขามาเห็นสภาพลูกตอนนี้ กับสิ่งที่ลูกเขาทำลงไป
Advertisement