จากกรณี เด็กหญิงแก้ว (สงวนนามสกุล) อายุ 11 ปี ถูกตาเลี้ยง ทราบชื่อ นายซิท อายุ 55 ปี ก่อเหตุข่มขืนนานกว่า 3 ปี ภายในห้องน้ำที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.คลองใหญ่ อ.แหลมงอบ จ.ตราด ซึ่งเป็นบ้านที่ผู้เสียหายที่อาศัยอยู่กับยายวัย 54 ปี ทราบชื่อ นางอุทัย (สงวนนามสกุล) ผู้ร้องเรียน ตาวัย 51 ปี ลูกชายของตายายอายุ 23 ปี และหลานสาวของตายายอีก 1 คน อายุ 7 ขวบ ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของน้องแก้ว โดยนายซิทก่อเหตุมาแล้วเกือบ 3 ปี ตั้งแต่ 2563-2565 อีกทั้งยังมีการชวนเพื่อนชายเกือบ 20 คนมาร่วมก่อเหตุด้วย
เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 65 หลังจากทีมข่าวท้องถิ่น จ.ตราด ได้รับเรื่องร้องเรียน ก็ได้เข้าไปพูดคุยกับผู้เสียหายและยาย พร้อมกับโทรผ่านเฟซบุ๊กไปหานายซิท เพื่อพูดคุย นายซิทบอกว่าปัจจุบันตัวเองทำงานอยู่ที่แถวมีนบุรี กทม. และยังไม่มีแพลนจะกลับมาที่ จ.ตราด แล้วเมื่อผู้เสียหายถามว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ นายซิทก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวานว่า "ทำไมอยากให้พี่รีบไปหา อยากโดนพี่เต็มที่เลยเหรอ อยากให้พี่เปิดซิงเต็มที่เลยรึไง" หลังจากนั้นผู้เสียหายก็รีบตัดบทขอวางสายไป
ในวันเดียวกันนั้น ทีมข่าวท้องถิ่นก็ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ พมจ.ตราด เข้าให้ความช่วยเหลือ นำตัวผู้เสียหายมาสอบปากคำที่ สภ.แหลมงอบ ก่อนนำตัวเด็กไปพักอาศัยที่บ้านพักเด็ก จ.ตราด
ล่าสุด ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้รับรายงานว่า นายซิทถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมตัวจาก กทม. ได้แล้ว และนำตัวมาสอบปากคำคำต่อที่ สภ.แหลมงอบ จ.ตราด ตั้งแต่เวลาประมาณ 02.30 น. ของวันที่ 30 ส.ค. 65
เบื้องต้นนายซิทยังให้การปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยพ.ต.อ.สมชาย อยู่สวัสดิ์ รอง ผบก.ภ.จ.ตราด บอกว่าทางตำรวจพยายามรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งพยานวัตถุ พยานบุคคล ตลอดจนข้อมูลการทักแชทกับผู้เสียหายก่อนก่อเหตุ แต่เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีใครรู้เห็นเรื่องนี้เลย ทำให้พยานบุคคลมีน้อย ทุกคนเลยมารู้พร้อมกันหลังจากผู้เสียหายยอมเล่าเรื่องราวยาย อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานต่าง ๆ ที่รวบรวมไว้ ก็สามารถเอาผิดนายซิทได้ จึงมีการตั้งข้อกล่าวหาไว้ 1 ข้อตามคำให้การของน้องแก้ว คือกระทำอนาจาร ล่วงละเมิดเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 13 ปี และถูกส่งฝากขังยังศาลฯไปเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ 31 ส.ค. 65 โดยครอบครัวไมาได้มีการยื่นประกันตัว
วันที่ 31 ส.ค. 65 ทีมข่าวเดินทางไปยัง สภ.แหลมงอบ จ.ตราด เพื่อตามคืบหน้าทางคดี พ.ต.อ.เฉลิมศักดิ์ เถียรทองศรี ผกก.สภ.แหลมงอบ ให้ข้อมูลว่าจากการสอบปากคำตลอด 1 วันครึ่ง นายซิทยังให้การปฎิเสธเหมือนเดิม ยืนยันว่าไม่เคยมีเพศสัมพันธ์หรือก่อเหตุข่มขืนผู้เสียหายเลย ไม่เคยเดินทางมา จ.ตราด โดยบอกว่าตัวเองมีบ้านอยู่ที่หนองจอก กทม. ไม่ได้เป็นตาเลี้ยงของน้องแก้ว ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องหรือคนรู้จักมักชิดใด ๆ ไม่เคยเจอเลยด้วยซ้ำ
ที่สำคัญจากที่เจ้าหน้าที่สอบถามไปยังแม่เลี้ยงของน้องแก้วก็ทราบว่า แม่ของแม่เลี้ยงเสียชีวิตไปนานแล้ว ดังนั้นการจะมีสามีใหม่แล้วมาเป็นตาเลี้ยงของน้องแก้ว ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดไม่รู้จักหรือคุ้นหน้านายซิทเลยด้วย นายซิทให้การกับเจ้าหน้าที่ว่าตนเพิ่งจะคุยกับน้องแก้วได้แค่ 1-2 เดือน รู้จักกันผ่านแอปพลิเคชั่นหาคู่ มีการพูดคุยกันเรื่อย ๆ ในเชิงชู้สาวทั้งในแอปฯ มีการเซ็กซ์โฟนกับ น้องแก้วจริง ทั้งผ่านการคุยและวิดีโอคอล แลกกับการที่ตนต้องเติมค่าอินเทอร์เน็ตให้ผู้เสียหาย เดือนละ 140-150 บาท นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางของนายซิท ไม่พบว่าจะมีประวัติการเดินทางมายัง จ.ตราด
จากการสอบพยานแวดล้อมและพยานวัตถุในที่เกิดเหตุ ก็ยังไม่พบหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นว่านายซิทมาที่บ้านของผู้เสียหาย หรือพาเพื่อนชายเกือบ 20 คนมาก่อเหตุตามที่น้องแก้วเล่ากับยายและสื่อ รวมถึงที่ให้การกับเจ้าหน้าที่ก่อนหน้านี้ด้วย อีกทั้งจากการตรวจสอบโทรศัพท์ของน้องแก้ว พบว่ามีแอปพลิเคชันที่นายซิทกล่าวถึงจริง และมีการใช้งานจริง โดยภายในแอปฯ เมื่อมีการเช็กประวัติย้อนหลัง 1 เดือน กลายเป็นว่าน้องแก้วมีการพูดคุยติดต่อกับผู้ชายภายในแอปฯ ประมาณ 40-50 คน แต่ในส่วนของรายละเอียด ลักษณะการพูดคุยขอสงวนไว้ก่อน เนื่องจากผู้เสียหายเป็นเยาวชน
นางอุทัย (สงวนนามสกุล) ยายของน้องแก้ว (นามสมมติ) บอกว่าหลังทราบข่าวการจับกุมตัวของนายซิทมาที่โรงพัก เมื่อวานตนก็ไปรอเพื่อดูหน้านายซิททั้งวัน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เจอหรือพูดคุยกัน และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับความคืบหน้า รู้แค่ว่ามีการส่งนายซิท ส่งฝากขังศาลไปแล้ว ยอมรับว่าตอนแรกที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดจากหลาน ก็สองจิตสองใจว่าจะเชื่อหรือไม่ เพราะไม่ได้ติดต่อกับอดีตลูกเขยหรือพ่อของหลานมาเกือบ 5 ปีแล้ว เนื่องจากพ่อแม่ของหลานเลิกรา และแยกกันอยู่ตั้งแต่หลานอายุ 7 ขวบ หลังจากนั้นก็มาอยู่กับตนจนถึงปัจจุบัน รวมถึงน้องสาวเขาอีก 1 คนอายุ 6 ขวบ
หลังคุมตัวนายซิทมาที่โรงพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้เชิญพ่อของหลานพร้อมภรรยาใหม่ หรือที่หลานเรียกว่าแม่เลี้ยงขึ้นมาชี้ตัว ปรากฏว่าไม่มีใครรู้จักนายซิทเลย อีกทั้งภรรยาใหม่ของอดีตลูกเขยยังบอกอีกว่าแม่ของเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ นายซิทจะมาเป็นสามีใหม่ของแม่เขา หรือเป็นตาเลี้ยงของหลานสาว ตอนนั้นตนก็เลยมั่นใจว่าหลานน่าจะแต่งเรื่องขึ้นมา
ทั้งนี้ ตนไม่เคยเห็นว่าหลานจะวิดีโอคอลหรือคุยกับใครในลักษณะชู้สาวหรือลามก ส่วนใหญ่หลานจะคุยกับเพื่อนที่โรงเรียนมากกว่า สำหรับการที่นายซิทเติมเงินให้กับโทรศัพท์หลาน ตนยืนยันว่าตนเป็นคนเติมเงินให้ทุกเดือน เดือนละ 120 บาท แล้วหลานก็เอาไปสมัครอินเทอร์เน็ตและสมัครโทรฟรีรายวัน แต่ตนไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามกับโทรศัพท์ของหลาน จึงไม่รู้เลยว่าหลานเล่นแอปฯหาคู่กับผู้ชายจริงหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาก็พยายามตักเตือนหลานเรื่องการใช้โซเชียลมีเดียตลอดว่า "ปัจจุบันโลกโซเชียลมันไปไกล จะทำอะไรให้ระวัง" ดังนั้น ตนก็ขอให้ทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และรอผลการตรวจร่างกายของทั้ง 2 คน
น้องกอล์ฟ (นามสมมติ) อายุ 10 ขวบ เพื่อนที่โรงเรียนของน้องแก้ว ยอมรับว่าปกติน้องแก้วเท่าที่ต้นเห็นก็จะเป็นเด็กนิสัยดี น่ารัก เรียนเก่ง ทำกิจกรรมของโรงเรียน มีเพื่อนเยอะ เล่นกับตนบ่อย ๆ ที่โรงเรียน ไม่ได้มีนิสัยก้าวร้าว เมื่อปลายปีที่แล้ว ตนเห็นว่าน้องแก้วร้องไห้บ่อยมาก ประมาณ 3-4 ครั้ง เพราะโดนเพื่อนผู้ชายทำร้ายด้วยการเข้ามาเตะแบบไม่มีเหตุผล ซึ่งน้องแก้วพยายามหลีกเลี่ยงแล้วว่าอย่ามายุ่ง แต่เพื่อนชายก็ยังเข้ามาเตะเรื่อย ๆ จนแรงขึ้น แต่ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาตนไม่เคยเห็นว่าน้องแก้วจะร้องไห้หรือมีภาวะเครียด ส่วนเรื่องแฟนหนุ่มนั้น ตนไม่รู้ว่าเขามีหรือเปล่า
ด้านนางชมพู่ (นามสมมติ) อายุ 48 ปี ภรรยาของนายซิท พร้อมนางสาวองุ่น (นามสมมติ) ลูกสาวอายุ 22 ปี เปิดใจกับอมรินทร์ทีวี ยืนยันว่าตลอด 20 กว่าปีที่พวกตนอยู่บ้านในพื้นที่หนองจอก กทม. นายซิทไม่เคยเดินทางไป จ.ตราด เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำงานเกี่ยวกับช่างบำรุงที่บริษัทย่านมีนบุรี เลิกงานตอน 17.00 น. ก็กลับมาที่บ้าน พากันไปซื้อกับข้าวตอน 21.00 น. ทุกวัน ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปหาน้องแก้วที่ จ.ตราด เพราะต้องใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ถึง 5-6 ชั่วโมง
หลังจากทราบข่าวก็ปลุกสามีขึ้นมาถามทันทีว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ สามีก็ยืนยันว่าไม่เป็นเรื่องจริง ไม่เคยเดินทางไป จ.ตราด ยืนยันว่าตลอด 25 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน สามีไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงอื่นหรือมีพฤติกรรมนอกใจ นิสัยใจคอของสามีจะเป็นคนสนุกสนาน ขี้เล่น อัธยาศัยดี ชอบแซวเด็กทั้งหญิงชายในละแวกบ้านประจำ แต่ไม่เคยมีพฤติกรรมส่อไปในเชิงชู้สาว ดังนั้นส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าสามีจะไปมีพฤติกรรมเซ็กซ์โฟนกับน้องแก้ว
อย่างไรก็ตามแม้วันนี้จะไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นศาล ครอบครัวก็ยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความจริง จึงขอเดินหน้าสู้ต่อ และไม่มีอะไรจะฝากบอกกับน้องแก้ว รวมถึงครอบครัวด้วย แต่ถ้าสุดท้ายแล้วศาลตัดสินด้วยพยานหลักฐานทั้งหมดว่านายซิทมีความผิดจริง ครอบครัวก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องเคารพในการตัดสินของศาล คงต้องยอมรับ แต่ขอความเป็นธรรมจากศาลด้วยว่าใครข่มขืนน้องกันแน่
Advertisement