จากกรณี "เจ๊ดา" อายุ 56 ปี ม่ายสาวใหญ่ในพื้นที่ ต.วังตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ออกมาร้องสื่อฯ ว่าถูกหนุ่มรายหนึ่ง ทราบชื่อ "นายฤทัย" อายุ 48 ปี มาตีสนิทแล้วหลอกให้รักกว่า 2 เดือน พร้อมกับทำทีเอาสร้อยคอทองคำหนัก 10 บาทมามอบเป็นสินสอดเพื่อหมั้นหมาย แล้วบอกว่าออกพรรษาที่ผ่านมาจะมาแต่งงาน แต่ระหว่างนั้นขอเข้ามาอยู่กินแบบฉันสามีภรรยาที่บ้านของเธอก่อน
สุดท้ายก็หายตัวกลับบ้านที่ จ.มุกดาหาร พร้อมเอาสร้อยคอทองคำ 10 บาทไปด้วย นายฤทัยยังสารภาพกับเธออีกว่าแท้จริงตัวเองมีเมียมีลูกอยู่แล้ว แต่ด้านพี่ชายของนายฤทัยยืนยันว่าสร้อยดังกล่าวเป็นของฝ่ายชาย และเหตุผลที่ต้องหนีไป ก็เพราะเจ๊ดาเร่งรัดบีบบังคับให้แต่งงาน
วันที่ 21 ต.ค. 65 "เจ๊ดา" ผู้ร้องเรียน เปิดใจกับอมรินทร์ว่า สร้อยทอง 10 บาทเป็นของนายฤทัยง แต่เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 65 นายฤทัยให้ตนเองด้วยการเอามาคล้องคอ ขณะที่ตนอยู่บ้านพี่ชายของเขา และตอนนั้นกำลังจะขับรถกลับบ้านพอดี โดนขณะคล้องเขาบอกประมาณว่า "สร้อยนี้เป็นการหมั้นไว้ มัดจำเอาไว้นะ" วันที่ 30 ก.ค. 65 นายฤทัยเอาจี้หลวงปู่ทวดเลี่ยมทองหนัก 1 บาท มูลค่า 30,000 บาท มาให้ตนด้วยที่บ้าน บอกว่าให้ใส่ไว้ป้องกันอุบัติเหตุเวลาเดินทาง หลังจากนั้นก็เริ่มมานอนที่บ้านตน แต่ยังไม่ได้เสียกัน ตนก็สวมสร้อยและจี้อยู่ประมาณ 1 อาทิตย์
กระทั่งวันที่ 7 ส.ค. 65 นายฤทัยอสร้อยไปใส่ในงานแต่งงานของลูกชายตน ตนก็เอาให้ เพราะช่วงวันที่ 5-6 ส.ค. 65 ก็ได้เสียกันแล้ว จึงถือว่าเป็นผัวเมียกัน ของผัวก็เหมือนของเมีย คงไม่ไปไหน และไม่คิดว่าเขาจะหายไปแบบนี้ หนำซ้ำยังมาบอกว่ามีเมียแล้วอีก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยืนยันกับตนว่าไม่มี เพราะถ้ามีเมียอยู่แล้ว ตนไม่เอาเด็ดขาด ยืนยันเลยว่าตัวเองไม่เคยคิดจะวิ่งไล่จับผู้ชายเพื่ออยากได้ทรัพย์สินเงินทอง เนื่องจากตัวเองก็มีเงิน มีธุรกิจ หน้าตาก็โอเค
เรื่องที่นายฤทัยจะขอตนแต่งงานช่วงออกพรรษา เป็นช่วงขึ้นบ้านใหม่เหมือนกัน ตอนนั้นนั่งกินข้าวกันอยู่ที่บ้าน พร้อมกับเพื่อน ๆ กลุ่มเพื่อนก็บอกว่าในเมื่อทั้งคู่คบหากันแล้ว ช่วงออกพรรษาก็แต่งงานกันเลย ซึ่งนายฤทัยก็ไม่ได้ปฏิสธ ตนก็เลยคิดว่าเขาไม่ติดขัดบวกกับหลังจากงานขึ้นบ้านใหม่ พออยู่กันสองต่อสองเขายังเน้นย้ำกับตนอีกว่าจะขอเก็บเงินอีกหน่อย จะเอาคนเฒ่าคนแก่มาเป็นสักขีพยานในพิธีผูกข้อไม้ข้อมือ แต่ตนก็แอบเอะใจเพราะช่วงปลายเดือน ก.ย. 65 ขณะที่กำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน ตนก็เอารูปชุดแต่งงานให้ดู พร้อมกับถามว่าซื้อมาใส่ในงานแต่งของเราดีไหม แต่เขาตอบกลับมาว่าทำไมต้องแต่งด้วยเหรอ ตนก็เลยถามว่าจะไม่แต่งเหรอเขาก็ยืนยันว่าแต่งนั่นแหละ พร้อมถามค่าสินสอด ตนก็บอกไปว่าทอง 4 บาท เงินสด 100,000 บาท จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่บ้าน และนายฤทัยยังจะซื้อแหวนทองให้ตนใส่ด้วย แต่ตนปฏิเสธไป เพราะไม่อยากได้
ส่วนประเด็นที่พี่ชายของนายฤทัยบอกว่าตนไปขอเงินน้องชายเขามาจัดงานขึ้นบ้านใหม่ 30,000 บาท และขอให้ซื้อตู้เย็นกับแอร์ให้นั้น ยืนยันว่าไม่จริง เพราะนายฤทัยเป็นคนเปย์ให้เองทั้งนั้น ตนซึ่งเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวก็เลยรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นที่พึ่งพาได้ในอนาคต อีกอย่างคือตนไม่ได้บังคับให้นายฤทัยเอาทอง 10 บาทไปขายเพื่อมาจัดงานแต่งด้วย เพียงแค่บอกว่าหากมีปัญหาเรื่องเงินจริงก็เอาสร้อยมาคล้องคอตนเป็นสินสอดแทน เพื่อเป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอดในงานแต่งช่วงออกพรรษา ตนไม่เคยเร่งรัด แต่เขาหายไป แล้วไม่ได้บอกเลยว่ามีปัญหาอะไร โทรไปก็ไม่รับ ไม่ยอมบอกตั้งแต่แรกว่าไม่พร้อม ไม่มีเงินหรือมีหนี้ที่ต้องรับผิดชอบ แล้วพอเรื่องกลายเป็นข่าว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมออกมาพูด ไม่แสดงความเป็นลูกผู้ชายเลย สร้างความเจ็บใจและอับอายให้ตน เพราะก่อนหน้านี้ชาวบ้านเขารู้กันเยอะว่าตนกับนายฤทัยจะแต่งงานกัน โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อน
สิ่งที่ตนต้องการมากที่สุดคืออยากให้นายฤทัยออกมาชดใช้ค่าเสียหายตามกฎหมาย ส่วนเรื่องของทองก็ปล่อยให้เป็นไปตามข้อกฎหมายว่ามันควรจะเป็นของใคร เพราะยืนยันว่าเขาเป็นคนเอามาคล้องคอตนเอง ตนก็ไม่สนใจแล้วว่าเขาจะมีเมียหรือเป็นแค่การอ้าง พร้อมกับยอมรับว่าจะไม่มีการไกล่เกลี่ยใด ๆ มองหน้ากันไม่ติดแล้ว ตนก็ยืนยันว่าไม่ได้แจ้งความเท็จด้วย ไม่กลัวหากนายฤทัยจะแจ้งความกลับ ยืนยันว่าไม่มีโอกาสกลับมาคืนดีกันแน่นอน ที่สำคัญคือเหตุการณ์ครั้งนี้มันทำให้จิตใจบอบช้ำมาก คงปิดใจตลอดกาล เพราะไม่อยากเจอกับความรักหลอกลวงอีก จากนี้ขอตั้งหน้าทำงานก็พอแล้ว "อยากจะบอกว่าถ้าเป็นลูกผู้ชาย กล้าทำต้องกล้ารับ ออกมาพูดความจริง อย่าใส่ร้ายกัน ฉันจะวิ่งไล่จับคุณทำไม คุณเอาทองมาคล้องคอฉันด้วยใจ ฉันก็มีจิตใจ ฉันเองเพศเดียวกับแม่คุณ"
"เจ๊ดา" ได้ส่งคลิปเสียงของวันที่ 12 ต.ค. 65 หลังจากที่นายฤทัยหายไป และเจ๊ดาพยายามไลน์ไปถามหา ด้านของนายฤทัยก็โทรศัพท์กลับมา โดยตนบันทึกคลิปเสียงไว้ ความยาว 27 นาที ใจความสำคัญคือเจ๊ดาพยายามถามกับนายฤทัยว่าทำไมได้กันแล้วถึงหายไปแบบนี้ ชาวบ้านเขาก็รู้กันหมดว่าจะมาขอแต่งงานตอนออกพรรษา ตอนนี้รู้สึกเจ็บใจ ฉันอายคน ชีวิตนี้ไม่เคยเจอมาก่อน ฉันผิดอะไร มาหลอกฉันทำไม ไม่สงสารฉันเหรอ ฉันก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง และที่ผ่านมาก็ถามตลอดว่ามีเมียไหม เธอก็บอกว่าไม่มี ถ้ารู้ว่าเธอมีเมียอยู่แล้วฉันก็ไม่เอาหรอก แต่นี่เธอเอาทองมาหมั้นฉันไว้ แม้ว่าตอนนี้เธอจะเอากลับไปแล้ว ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่อยากบอกให้รู้ว่าฉันก็มีหัวใจ มีความรู้สึก ไม่ใช่เสาธง ไม่ใช่เสาโทรศัพท์ที่จะไม่มีความรู้สึก ที่จะมาหลอกลวงแล้วหนีหาย เพราะฉะนั้นจะเอายังไงก็พูดเลย ไม่ต้องอ้ำอึ้ง
ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ฉันจะไปแจ้งความที่เธอหลอกฉันว่าไม่มีเมีย เธอสร้างตราบาปให้ฉัน และอยากจะบอกว่าฉันมีทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องไปแย่งจากใคร ขอแค่อย่างเดียวคือคนที่จะอยู่ด้วยกัน กินข้าวเย็นด้วยกันก็เท่านั้น แล้วที่เลือกเธอก็เพราะเห็นว่าเป็นคนใกล้ตัว ขณะที่นายฤทัยพูดเพียงแค่ "ยอมรับว่าฝ่ายหญิงดีกับเขาทุกอย่าง เข้าใจความรู้สึกของฝ่ายหญิงทั้งหมด และขอยอมรับผิดทุกอย่าง" พร้อมกับบอกว่าตัวเองเครียดจนอยากจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ เจ๊ดาให้ทีมข่าวขึ้นไปดูห้องนอนที่ทั้งคู่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ตอนนี้เหลือเพียงแค่ความทรงจำเก่า ๆ เพราะแรกเริ่มเดิมทีที่นายฤทัยเข้ามาอยู่ที่นี่ เขามาตัวเปล่า การที่เขาออกไปก็ออกไปตัวเปล่า พร้อมกับรถกระบะของเขา
พร้อมกับให้ทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิด ช่วงเวลาสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ทุกอย่างปกติมาก วันที่ 25 ก.ย. 65 เวลาประมาณ 19.30-20.30 น. ทั้งคู่ได้นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันในห้องครัว เป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่ได้กินด้วยกัน กับข้าวในวันนั้นเป็นน้ำพริก ผักต้มและข้าวสวย แล้วก็พากันขึ้นห้องนอนที่ชั้น 2 เพื่อพักผ่อน
จากนั้น 26 ก.ย. 65 เวลา 03.25 น. เจ๊ดาก็ออกไปขายผักที่ตลาดตามปกติ โดยมีนายฤทัยออกมาส่งและยืนมองดูที่ระเบียงชั้น 2 จนกว่าเจ๊ดาจะขับรถออกจากบ้านไป เวลาประมาณ 05.30 น. นายฤทัยก็ตื่นนอนแล้วลงที่ชั้นล่าง สวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นและคาดกระเป๋า 1 ใบ เพื่อลงมาหาอะไรกินที่ห้องครัว ก่อนจะเดินไปเดินมาที่บริเวณใต้ถุน ไปเก็บขยะบริเวณหน้าบ้านมาทิ้ง ซึ่งเจ๊ดาบอกว่าทุกอย่างปกติมาก เป็นกิจวัตรประจำวันของเขา แต่หลังจากเวลาประมาณ 08.30 น. นายฤทัยก็ขับรถกระบะของเขาออกจากบ้านไป ไม่กลับมาอีกเลย
ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ให้ข้อมูลว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1437 ระบุไว้ว่า "การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่ฝ่ายหญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับฝ่ายหญิงนั้น เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง" ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นของฝ่ายหญิงเพียงผู้เดียว ไม่ว่าในอนาคตจะแต่งกันหรือไม่ก็ตาม ฝ่ายหญิงไม่จำเป็นต้องคืน
ทั้งนี้ จะต้องไปดูเรื่องของหลักฐานที่มีไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานลายลักษณ์อักษร ซึ่งหากมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ทรัพย์สินก็ต้องเป็นของฝ่ายหญิง แล้วการที่ฝ่ายชายเอาไปแบบนี้ก็เข้าข่ายความผิดฐานยักยอกทรัพย์
ขณะเดียวกัน กรณีที่ฝ่ายชายออกมาบอกว่ามีเมียอยู่แล้วนั้น หากฝ่ายชายสามารถยืนยันด้วยหลักฐานได้ว่ามีเมียอยู่แล้วจริง และเมียคนนั้นต้องจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย เมียของฝ่ายชายสามารถฟ้องร้องเรียกเงินค่าทดแทนจากฝ่ายหญิง หรือ เจ๊ดา ได้ เนื่องจากไปเป็นชู้กับสามีชาวบ้านเขา เพราะฉะนั้นทางที่ดีก่อนจะตกลงหมั้นหมายกับใครก็ควรจะเช็คก่อนว่าอีกฝ่ายมีทะเบียนสมรสอยู่แล้วหรือเปล่า
Advertisement