พ่อนุ่น เชื่อ ทอย วางแผนไว้ล่วงหน้า ชี้ไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น ขอบคุณอมรินทร์ทีวี ถ้าไม่ได้อมรินทร์คงไม่มีวันนี้ คงไม่เจอลูก คนร้ายก็คงไม่ได้รับโทษ และไม่อยากพูดถึงนายทอยอีก ไม่ตีค่าคนแบบนี้ไม่ให้อภัย
ความคืบหน้ากรณี น.ส.ชลลดา หรือ น้องนุ่น อายุ 27 ปี หายตัวไป หลังจากมีปัญหาทะเลาะกับ นายศิริชัย หรือ ทอย สามี และหนีลงจากรถของสามี เวลาประมาณ 03.00 น. ของ วันที่ 18 ก.พ.67 ที่ผ่านมา แล้วก็หายไป ทางกลุ่มเพื่อนได้พากันโพสต์ตามหา แต่ไร้วี่แวว กระทั่งต่อมาตำรวจมีหลักฐานชัดว่าจริงๆแล้วน้องนุ่น ถูกนายศิริชัย สามีทำร้ายจนเสียชีวิตแล้วนำร่างไปเผาอำพรางที่ จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งตำรวจคุมตัวนายศิริชัย ฝากขังแล้วเมื่อวานนี้ พร้อมแจ้ง 3 ข้อหาหนัก นั้น
เมื่อ วันที่ 22 ก.พ. นายชัยยา มุธุวงศ์ อายุ 49 ปี พ่อของ นางสาวชลลดา มุธุวงศ์ หรือ นุ่น ให้สัมภาษณ์กับกับสื่อมวลชนว่า ในตอนแรกที่ตนทราบข่าวว่าลูกสาวได้หายตัวไปเพราะว่าทะเลาะกับสามีและโดดลงจากรถขึ้นแท็กซี่ ตอนนั้นก็รู้สึกว่ามันแปลกใจแล้ว
อีกใจนึงก็คิดว่าลูกสาวน่าจะทะเลาะกับสามีแล้วอยากหนีไปพักที่ไหนสักที่ ประมาณ 2-3 วันคงกลับมา แต่เมื่อมาเห็นข่าว ที่แม่ของนุ่น ให้สัมภาษณ์ ทำให้ยิ่งแปลกใจมากขึ้นคือคำพูดของทอยที่บอกกับแม่นุ่นว่า ให้ทำใจเอาไว้ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตนมองว่าไม่ควรจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ตนก็ไม่อยากจะคิดในแง่ลบ จึงไม่กล้าจะเปิดข่าวของลูกดู
จนกระทั่ง ได้ทราบข่าวจากเพื่อนของลูกสาวว่า ลูกสาวไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ตนก็รู้สึกเสียใจและโกรธมาก เพราะคิดไม่ถึงว่าทอยจะทำร้ายลูกสาวได้ถึงขนาดนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อปี 2563 ลูกสาวเคยโทรมาบอกตนว่า ถูกทอยทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถูกทำร้ายร่างกายหน้าลิฟท์ของโรงแรมแห่งหนึ่ง จนนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาทำร้ายร่างกายกัน ทันทีที่รู้ว่าลูกสาวถูกทำร้ายร่างกายตนก็รีบมาหาเลย แต่เมื่อมาถึงก็ไม่เจอทอย เพราะว่าเจ้าตัวไม่กล้าสู้หน้าตน
ตนได้บอกกับลูกสาวไปว่าให้เลิกกับผู้ชายคนนี้ เพราะว่าเขาทำร้ายร่างกาย และลูกสาวก็รับปากบอกว่าจะเลิก แต่หลังจากนั้นตนก็ไม่ทราบสาเหตุที่ทั้งคู่กลับมาคบหากัน มาทราบอีกครั้ง ลูกสาวก็ตั้งท้องแล้ว และได้ไปทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือ ที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งตนก็ไปร่วมพิธีด้วยแต่ยอมรับว่าไม่เห็นดีเห็นงาม เพราะรู้สึกไม่ชอบผู้ชายคนนี้มาตั้งแต่ต้น แม้ว่าตอน ทำพิธีผูกข้อไม้ข้อมือฝ่ายชายจะสัญญาว่า “จะดูแลลูกสาวอย่างดี” แต่ส่วนตัวไม่เชื่อ เพราะท่าทีของฝ่ายชาย เชื่อไม่ได้ ชอบวางมาดทำเป็นคนมีเงินทอง
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาทอยเคยได้ใช้ เฟสบุ๊กส่วนตัวของลูกสาวมาด่าทอตนในเฟสบุ๊กของภรรยาใหม่ตน ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ซึ่งตนปักใจเชื่อว่า ทอยได้นำเฟสบุ๊กลูกสาวมาต่อว่าตน เพราะรู้สึกไม่พอใจที่ตนได้กีดกันความรักของทั้งคู่ ทั้งนี้มีบางครั้งที่จะคอยเตือนอยู่บ้าง แต่ลูกสาวไม่ค่อยฟังเพราะว่ารักผู้ชายคนนี้มาก เมื่อลูกสาวตัดสินใจได้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนนี้แล้ว เห็นในโลกโซเชี่ยล อวดชีวิตหรูหรา มีความสุข ตนก็คอยดูแลอยู่ห่าง ๆ ซึ่งก็ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้
“เชื่อว่าทอยมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเพราะได้สั่งพัสดุเป็นกระเป๋าเดินทางมาส่งที่หน้าบ้าน หลังจากนั้น ก็เกิดเหตุขึ้น และมองว่าผู้ชายคนนี้น่าจะไม่ใช่โรคจิต เพราะว่าเขามีสติครบทุกอย่าง และเชื่อว่าถ้าหากไม่พบศพของลูกสาว นายทอยคงจะไม่รับสารภาพ เพราะนักข่าวไปเจอแท้ ๆ ถึงจบคดีได้ ช่วงที่ตนเห็นข่าวว่าเจอศพพยายามประติดประต่อเรื่องราวคิดแล้วว่าเป็นลูกสาวเเน่ ๆ เพราะสร้อยข้อมือของลูกสาวตนเองก็จำได้ ตอนนี้อยากให้ตำรวจ แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเรื่องการวางแผน และหากกฎหมายศักดิ์สิทธิ์จริงอยากจะให้คนทำผิดได้รับโทษถึงขั้นประหารชีวิต ”
อย่างไรก็ตาม สำหรับร่างของนุ่นจะนำไปบำเพ็ญกุศลที่ใดนั้น ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับแม่ของนุ่น แต่ส่วนตัวอยากจะให้นำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่จังหวัดอุบลราชธานีเพราะว่า นุ่นเติบโตมาจากที่นั่น โดยมีปู่และย่าคอยเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต ขณะที่ตอนนี้ ลูกของนุ่น ปู่กับย่าก็เป็นคนรับเลี้ยงดูแทน
พ่อนุ่นกล่าวต่อว่า ตนเองมารู้จักทอยช่วงปี 2563 เพราะคบหากับลูกสาวตอนนั้นก็ยังไม่ได้เจอเเค่เห็นก็ไม่ชอบแล้วเพราะวางมาดจนเกินงาม เก๊กเกินไป ในใจคิดไม่อยากให้ลูกคบกับทอยตั้งแต่เห็นรูปแล้ว ตั้งแต่ยังไม่มีเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายลูกสาว
ตัวเองเคยบอกลูกสาวว่าไม่อยากให้คบกับผู้ชายคนนี้เลย แต่ลูกรักผู้ชายคนนี้ ตัวเองทำอะไรไม่ได้ก็เลยปล่อยไป ไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์มันจะล่วงเลยมาถึงขนาดนี้
เท่าที่เห็นพฤติกรรมการคบกันกับลูกสาว ตนเห็นทั้งรักและเลิกกันไป ตัวเองเคยได้รับโทรศัพท์จากลูก ถูกนายทอยทำร้ายร่างกายตนก็รีบไปหาและพยายามบอกให้เลิกได้แล้ว เลิกได้ระยะหนึ่ง ก็กลับมาคบกันใหม่จนตั้งท้องหลังจากนั้นก็ผูกข้อต่อแขนจัดงานเเต่งเล็ก ๆ ให้ นายทอยเองก็สัญญาว่า “จะปรับปรุงตัวให้ดี ดูแลนุ่นให้ดี “ ตอนนั้นก็เชื่อ 50 % คิดในแง่ดีว่าคงจะปรับปรุงตัว
ทั้งนี้ก็ขอบคุณอมรินทร์ทีวีถ้าไม่ได้อมรินทร์คงไม่มีวันนี้ คงไม่เจอลูก คนร้ายก็คงไม่ได้รับโทษ // ตอนนี้อยากให้เพิ่มโทษไปอีกจนถึงประหารชีวิต ตอนนี้ไม่อยากพูดถึง ไม่ตีค่าคนแบบนี้ไม่ให้อภัย และไม่คุยอะไรด้วยแล้ว
ด้านนางกัญญารัตน์ สุดแสง อายุ 58 ปี น้าสาวของนุ่นเผยว่า ตัวเองติดตามชีวิตหลานสาวผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว เห็นหลานสาวและนายทอยโพสต์รูปกินหรูอยู่สบายใช้ของแบรนด์เนม ตนเองก็พลอยดีใจไปกับหลานสาวด้วยว่ามีชีวิตที่ดี
เมื่อเดือนที่แล้วยังพาลูกสาววัยหนึ่งขวบเศษมาเยี่ยมหลานที่บ้าน ลักษณะทั้งสองคนก็ปกติเหมือนคนรักกันไม่ได้มีปัญหาอะไร ส่วนปัญหาอื่น ๆ ภายในครอบครัวทั้ง 2 คน เธอเองก็รับลูกมาบ้างผ่านพ่อนุ่นทุกคนก็ค่อยบอกและสอนไม่อยากให้คบกันแล้วแต่หลานสาวยังรักทุกคนก็ต้องปล่อย
ช่วงที่รู้ว่าหลานสาวหาย นายทอยโทรมาบอกญาติบอก GPS ไปทางปอยเปรต พวกเธอเองคิดในใจหลานคงไปทำงานเพราะหลานก็เคยไป เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น นายทอยก็พยายามจะบอกและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ โกหกทางครอบครัวของนุ่นว่านุ่นหนี
จนล่าสุดพอมารู้ว่าเจอศพนุ่นแล้ว ยอมรับว่าเสียใจมาก ๆ ไม่ดูคลิป ไม่ดูข่าวเลยทำใจไม่ได้จริง ๆ มันดูอนาถใจเกินไปอุ้มลูกไปทำร้ายร่างกายเมียด้วย ภาพที่เห็นตอนทำร้ายร่างกายหลานสาววันนี้มันแตกต่างจากที่นายทอยสร้างไว้จริง ๆ
ยอมรับนักข่าวอมรินทร์ไปเจอต้องขอบคุณมาก ๆ มอบโล่ให้ได้แล้ว เก่งมาก คิดว่า ดวงวิญญาณของนุ่นน่าจะดลใจให้ไปเจอกัน ล่าสุดเมื่อคืนนุ่นก็มาหาพ่อที่บ้าน พ่อบอกได้กลิ่นเหมือนยางไหม้ คงเป็นนุ่นที่มาหาแน่ ๆ หมาก็เห่าทั้งซอย พวกเธอเลยบอกว่า “เดะจะพากลับบ้านแล้วนุ่น”
สุดท้ายอยากจะขอบคุณพี่เนมมาก เป็นคนที่สังเกต ปกติตำรวจต้องเป็นคนแกะรอยแต่นี้นักข่าวเป็นคนทำซะเอง
นอกจากนี้ทางครอบครัวยังได้ส่งคลิปวิดีโอที่นายทอย และน้องนุ่นพาลูกสาววัย 1 ขวบเศษ ไปเยี่ยมหลานอีกคนเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา ญาติบอกทุกอย่างดีมากไม่มีอะไรผิดสังเกต 2 คนพูดคุยกันดี หากสังเกตดี ๆ น้องนุ่นใส่ทองเส้นเดียวกันที่เจอที่ศพ ทำให้ครอบครัวชี้ชัดได้ว่าศพที่ถูกเผาเป็นน้องนุ่นแน่ ๆ
Advertisement