จากกรณีวันที่ 14 ม.ค. 66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่ายาง ในพื้นที่ จ.เพชรบุรี ได้รับแจ้งเหตุมีคนถูกยิงเสียชีวิต ในพื้นที่หมู่ 1 บ้านหนองควาย ต.ในดง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรุดไปตรวจสอบพร้อมกู้ชีพและทีมแพทย์
พบว่าจุดที่เกิดเหตุเป็นบริเวณคันนา พบผู้เสียชีวิต 1 รายเป็นชาย สวมเสื้อยืดสีฟ้า กางเกงขาสั้น ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 เข้าที่ใบหน้า 3 นัด นอนเสียชีวิตอยู่บริเวณริมถนนทางเข้าบ้านพ่อของผู้เสียชีวิต ใกล้กันพบจักรยานยนต์สีน้ำเงิน และปลอกอาวุธปืนขนาด .38 จำนวน 3 ปลอกตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นายบุญโรม สีแดง หรือ โหน่ง อายุ 46 ปี ขณะที่คนก่อเหตุทราบชื่อในเวลาต่อมาว่าคือ นายทรงพันธ์ ศรีประภา หรือ นายต้อม อายุ 48 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของผู้เสียชีวิตและเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ส่วนสาเหตุคาดว่าเกิดจากทั้งคู่เคยมีปัญหาทะเลาะวิวาทกัน ปมปัญหาสาเหตุมาจากเรื่องสายไฟฟ้าที่ใช้กั้นล้อมวัว ทั้งนี้หลังก่อเหตุได้หลบหนีออกไปจากหมู่บ้านตำรวจกำลังเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ล่าสุดวันที่ 15 ม.ค. 66 ทีมข่าวได้กล้องวงจรปิดบริเวณทางเข้าบ้านพ่อของผู้ตายที่เป็นจุดเกิดเหตุ โดยกล้องวงจรปิดตัวแรกจะเห็นช่วงเวลา 18.21 น. จะเห็นว่าทางคนตายได้จอดรถแวะบ้านคนรู้จัก ทักทายและเหมือนชวนไปที่บ้านของพ่อเขา หลังจากนั้น กล้องตัวที่ 2 ภาพกล้องวงจรปิด โดยจับช่วงเวลาได้ประมาณ 18.32 บันทึกเสียงขณะที่เกิดเหตุได้ยินเสียงกระสุน จำนวน 4 นัด
ทีมข่าวได้เดินทางไปย้อนไปยังจุดเกิดเหต ซึ่งเป็นบ้านของพ่อผู้ตายกับบ้านของผู้ตาย และ บ้านของผู้ก่อเหตุจะอยู่ในระเเวกเดียวกัน รัศมีประมาณ 500-700 เมตร โดยบริเวณในระแวกดังกล่าวจะเป็นทุ่งนารอการทำนาปรัง
นางหมุน สีแดง อายุ 71 ปี แม่เลี้ยงของผู้ตาย เป็นคนที่เห็นเหตุการณ์และเป็นคนที่เห็นว่าทางลูกชายโดนยิงต่อหน้าต่อตา เล่าว่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้ช่วงประมาณ 5 โมงกว่า ขณะที่ตนกำลังรดน้ำผักอยู่บริเวณหน้าบ้านนอกรั้ว จู่ ๆ ทางด้าน "นายต้อม" คนก่อเหตุ ได้วิ่งลัดมาทางทุ่งนาจากจุดบ้านของเขาที่อยู่ข้าง ๆ บ้านลูกชายตน โดยเดินมาตามแนวคันนามาถามหา "นายโหน่ง" คนตาย ว่าอยู่บ้านไหม ตนเองก็บอกว่าเขาออกไปบ้านผู้ใหญ่ ไม่ได้อยู่บ้านออกไปสักพักแล้ว ซึ่งในใจตอนั้นคิดว่าเขาเองคงมาเคลียร์ปัญหาเก่ากันเรื่องรั้วกั้นวัวและที่มีการชกต่อย ไม่ได้เห็นอาวุธปืนแต่อย่างใด ตนก็ไม่ได้เอะใจอะไร
กระทั้งนายต้อมหรือคนก่อเหตุก็ได้เดินเข้ามาคุยกับตนใกล้ ๆ เรื่อย ๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกชายของตน "นายโหน่ง" ขับรถจักรยานยนต์กลับมาจากบ้านผู้ใหญ่ กำลังจะขี่เข้ามาที่บ้าน ทางคนก่อเหตุหรือนายต้อมได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ขับมาเลยหันหลังกลับไปเห็นว่าเป็น "นายโหน่ง" ทางคนก่อเหตุเลยไม่รอช้าชักปืนที่พกมาจากเอวยิงเข้าที่นายโหน่ง จำนวน 3 นัด ทั้งที่ทางผู้ตายยังไม่ได้ทันจอดจักรยานยนต์พูดคุยหรือตั้งตัวแต่อย่างใด จนกระทั้งทางผู้ตายหรือลูกชายของตนรถล้มและร่างกระเด็นลงไปยังคันนาข้าง ๆ จมกอฃเลือดเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาตน ตนเองก็ได้กรี๊ดร้องและตะโกนถามว่า "ยิงมันทำไม " แต่คนก่อเหตุกลับไม่สนใจเดินถือปืนวิ่งหนีกลับไปที่บ้านของเขาตามเดิม
สาเหตุที่ทั้งคู่ทะเลาะกันนั้น มาจากเรื่องรั้วลวดกันวัวในนาที่เมื่อ 2-3 วันก่อน พอดีว่าตนเองและครอบครัว ตั้งใจจะปั้นคันนาใหม่ใกล้ กับแนวรั้วลวดที่ทางฝั่งคนก่อเหตุเขาปล่อยวัวเลี้ยงไว้ ซึ่งทางผู้ตายเองได้ไปแจ้งคนก่อเหตุแต่ไม่เจอใคร เลยให้ทางลูกชายของผู้ตายไปแจ้งอีกครั้ง ซึ่งทางผู้ก่อเหตุเองก็รับปากว่าจะเเก้ไขให้ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร
กระทั้งเมื่อวานทางผู้ตายได้เดินทางไปดูพบว่า จุดดังกล่าวมีลวดขาดอยู่ช่องหนึ่ง ทางผู้ตายนึกว่าผูัก่อเหตุมาถอดหรือเคลื่อนย้าย เลยดึงสลักที่ปักกับดินของเขาออก 1 อัน หลังจากนั้นทางผู้ก่อเหตุกลับมาดูปรากฎว่าเหมือนมีลวดขาด เลยเข้าใจว่าทางผู้ตายเป็นคนมารื้อและเอาออกเลยมีเรื่องทะเลาะกัน จนถึงขั้นชกต่อยกันก่อนและมีปากเสียงกันก่อนจะมาก่อเหตุ
ส่วนตัวได้แต่ตะโกนร้องขอชีวิตลูกชายแต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจ มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างรุนแรงเกิดกว่าเหตุ ในใจตอนที่เขามาถามหาลูกคิดว่าเขาเองคงมาเคลียร์กันและคุยกันดี ๆ ไม่คิดว่าเขาจะเอาอาวุธปืนมา หนำช้ำมาจ่อยิงกระชันชิดไม่พูดจากันก่อน ทั้งที่ลูกชายของตนยังไม่ทันจอดหรือหยุดรถแต่อย่างใด ล้มทั้งยืนพร้อมรถจักรยานยนต์ มองเรื่องแค่นี้คุยกันได้ ทำไมถึงต้องใช้อาวุธปืน
ส่วนตัวอยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ก่อเหตุให้ได้เร็วที่สุด เพราะหวาดกลัวว่าเขาเองจะย้อนกลับมาทำร้าย ตลอดจนจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีที่ค่อนข้างสะเทือนขวัญ อยากให้มีการลงโทษสูงสุด เพราะลูกชายของตนเป็นคนดี ทำแต่งานดูแลลูกลาย 2 คน เหล้าเบียร์ บุหรี่ ไม่ยุ่งเกี่ยวและไม่เคยทะเลาะวิวาทกับใครมาก่อน หนำช้ำเขาเองคือเสาหลักของครอบครัว ลูกลายคนโตเขาเองเพิ่งจะเรายนจบและเข้าพิธีรับปริญญาช่วง เม.ย. ที่จะถึงนี้ สุดท้ายกลับมาเสียชีวิตเสียก่อน
อยากฝากบอกผู้ก่อเหตุว่า ไม่ต้องมาขอโทษหรือสำนึก ทางครอบครัวไม่พร้อมจะเจอหน้าหรือให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะตอนที่คุณมาฆ่าลูกของตน คุณเตรียมพร้อมและตั้งใจเดินมาหา ไม่ได้รู้สึกสำนึกผิด แต่พอเกิดเรื่องจะมาอ้างว่าสำนึก ทางครอบครัวไม่ต้องการ ปล่อยให้เป็นเรื่องของคดี
ด้าน นางบุญมา เอี่ยมสะอาด อายุ 75 ปี แม่นายต้อม ผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่ทราบ เนื่องจากวันที่เกิดเหตุตนไม่ได้อยู่ในพื้นที่ เนื่องจากไปงานบวชของลูกชายนายต้อม โดยที่ตนเองเพิ่งมาทราบหลังจากเกิดเรื่อง ส่วนรายละเอียดก่อนที่ทางนายต้อมจะก่อเหตุคือ เขาเองก็ไปร่วมงานบวชลูกชายเขาพร้อมตน แต่เหมือนว่าเขาเองมีอาการมึนเมาและอาละวาด พยายามจะให้ลูกชายที่บวชขี่คอเขาเพื่อเข้าอุโบสถ แต่ทางตนและญาติ ๆ ไม่ยินยอม เลยมีปากเสียง และจะมีการชกต่อยกัน ตนเองก็ได้แยกและไล่ให้ทางนายต้อมกลับบ้าน เนื่องจากทุนเดิมตนไม่พอใจและไม่คุยกับทางลูกชายมานานกว่า 5 เดือนแล้ว ก่อนที่จะเห็นว่าทางนายต้อมได้เดินออกไปจากวัด คิดว่าออกไปสูบบุหรี่ แต่มาทราบอีกทีคือเขาเองกลับบ้านไปก่อเหตุ กระทั้งมารู้ข่าวว่าลูกชายมาก่อเหตุยิงนายโหน่งตามที่เป็นข่าว
ก็ไม่รู้ว่าลูกชายมีปัญหาขัดแย้งส่วนตัวกับทางผู้ตายในประเด็นใด เพราะปกติตัวของตนเองไม่ถูกกันและไม่ได้พูดคุยกันมานานกว่า 4-5 เดือน เพราะถูกลูกชายด่า เนื่องจากเขาเองเป็นคนอารมณ์ร้อน ใครเตือนไม่ได้ เหมือนตนเองเคยไปพูดเตือนเรื่องเกี่ยวกับที่ดิน แต่กทางลูกชายไม่พอใจและต่อว่าตน ถึงขั้นต่างคนต่างอยู่ ตนมองว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหากมองอีกมุมตนคิดว่าลูกชายของตนน่าจะเก็บกดจากเรื่องที่ดิน เพราะทางคนตายเองเขาเหมือนเช่าที่ดินนาข้างบ้านของลูกชายตน พอถึงเวลาลอกหน้าดิน ทางคนตายเองเหมือนไถ่ดินแล้วกินพื้นที่บ้านของลูกชายตน ทำให้เป็นเหมือนปัญหาสะสมและส่งผลให้เกิดความเก็บกด ประจวบกับที่ผ่านมาเขาเองก็มีปัญหาเรื่องของยาเสพติด เพราะล่าสุดเพิ่งจะโดนจับและมีการเคลียร์ประกันตัวออกมา เมื่อ 1-2 เดือน ส่วนรายละเอียดนั้นตนไม่ทราบว่าโดนจับที่ไหนอย่างไร ใครไปประกันตัว เพราะอย่างที่บอกตนเองไม่ยุ่งและไม่สนใจ ต่างคนต่างอยู่ ให้เขาไปใช้ชรวืตกับภรรยาใหม่ของเขา ตนมีหน้ามี่ช่วยดูแลแค่หลานที่เกิดจากภรรยาเก่าของเขาเเค่นั้น
อย่างไรก็ตามสำหรับในมุมของคดี ตนเองไม่ขอยุ่งเกี่ยวและไม่สนใจ ไม่ขอไปประกันตัวหรือช่วยเหลือ ปล่อยให้โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและดำเนินคดีไปตามกฎหมาย
Advertisement