เปิดนาทีลูกทรพีไล่แทงแม่ดับ ตร.ยิงสยบคลั่งแต่เดินหนีชิลล์ เมียแฉปมสังหารแค้นถูกแจ้งจับเสพยา (คลิป)

จากกรณีเมื่อเวลาประมาณ 15.36 น. ของวานนี้ 27 ม.ค. 66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คุระบุรี จ.พังงา ได้รับแจ้งเหตุลูกชายทาสยา อาละวาดและใช้อาวุธมีดครัวจ้วงแทงแม่ผู้บังเกิดเกล้าจนเสียชีวิตคาบ้านในพื้นที่หมู่ 7 ต.บางวัน อ.คุระบุรี จ.พังงา เมื่อเดินทางตรวจสอบพบร่างของนางสุนิต้า (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี นอนหงายเสียชีวิตอยู่ใต้ต้นชมพู่

 

พบร่องรอยการถูกแทงทั่วร่างกายหลายจุด และจุดที่ทำให้เสียชีวิตคือบริเวณใต้ราวนมข้างซ้าย ใกล้กันพบอาวุธมีดทำครัวปลายแหลมทำด้วยสเตนเลสทั้งเล่ม และมีคราบเลือดเปื้อนวางอยู่ 1 เล่ม ส่วนผู้ก่อเหตุชื่อนายณัฐพล (สงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวได้ในที่เกิดเหตุทันที

ล่าสุดวันที่ 28 ม.ค. 66 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี สอบถามไปยังพ.ต.อ.อนันท์ อนุตรเวสารัช ผกก.สภ.คุระบุรี จ.พังงา ทราบว่าได้คุมตัว นายณัฐพลฝากขังยังศาลแล้วตั้งแต่ช่วงเช้าใน 2 ข้อหา คือ 1.ฆ่าบุพการีโดยเจตนา 2.เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย เนื่องจากผลการตรวจปัสสาวะพบเป็นสีม่วงหรือพบสารเสพติดในร่างกาย

ทีมข่าวเดินทางต่อไปยังที่เกิดเหตุ บริเวณหน้าบ้านของผู้ตายเอง นางสาวแวว (นามสมมติ) อายุ 20 ปี ภรรยาของผู้ก่อเหตุ เล่าว่าจริง ๆ แล้วครอบครัวพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คุระบุรี ไปตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. 66 เพราะที่ผ่านมานายณัฐพลมักมีอาการคุ้มคลั่งอยู่คนเดียวไม่ได้ พูดคนเดียว ฟังเพลง เพ้อไปเรื่อย ไม่หลับไม่นอน เดินไปเดินมา แต่ยังไม่เคยทำร้ายใคร เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับครอบครัว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่เข้ามา

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ตอนบ่าย ผู้ตายก็โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกรอบ แต่เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วง 16.00 น. และมาแค่ 1 นาย หลังจากนั้นเมื่อนายณัฐพลเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ร้องไห้โฮ พร้อมถามผู้ตายว่า "แม่เอาตำรวจมาทำอะไร ผมไม่ได้ทำอะไรผิด" พูดวนไปวนมาอยู่ 2-3 รอบ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้ไปบำบัด แต่ไม่เป็นผล

นายณัฐพล เดินเข้าไปในบ้าน แล้วผ่านไปสัก 10 นาที ก็เดินออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ตนเดินสวนเข้าไปในบ้าน แต่ยังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงแม่ร้องลั่นขอความช่วยเหลือ ก็เลยรีบออกมาดู ปรากฎว่าภาพที่เห็นคือสามีของตนใช้มีดแทงแม่ไปตั้งแต่หน้าบ้าน แม่ก็วิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่งและล้มลง นายณัฐพลก็กระหน่ำแทงอีกหลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายคาดว่าโดนใต้ราวนมซ้ายทะลุตัดขั้วหัวใจ เสียชีวิตคาที่ ขณะนั้นตนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นายที่เข้ามา พยายามจะโทรศัพท์เรียกกำลังเสริม แต่ตอนเกิดเหตุไม่ได้เข้ามาสกัดหรือห้ามอะไรเลย มายิงปืนขู่ 2 นัด หลังจากนายณัฐพลแทงและทิ้งมีดลงพื้นแล้ว ซึ่งส่วนตัวมองว่ามันสายเกินไป

นางสาวแววยอมรับว่าที่ผ่านมาใช้ชีวิตอยู่กับนายณัฐพลด้วยความหวาดระแวงมาก เพราะต้องจำใจนอนห้องเดียวกัน บ่อยครั้งที่เขาจะพูดพร่ำเพ้อยกไม้ยกมือ ซึ่งตนรู้เลยว่าเพิ่งไปเสพยาเสพติดมาแน่ ๆ แต่ก็โชคดีว่ายังไม่เคยถูกทำร้ายร่างกาย ครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก ยังช็อกไม่หาย เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นตรงหน้า ตนเข้าช่วยไม่ทันจริง ๆ สิ่งเดียวที่ทำได้คือหลังจากเกิดเหตุก็พยายามวิ่งร้องไห้ ตะโกนขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน ตั้งแต่ท้ายซอยซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุ ไปจนถึงปากซอย

จากนั้นทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่าเวลา 16.08 น. ของวันที่ 27 ม.ค. 66 หลังนางเทีย พี่สาวของผู้ตาย ประสานกับผู้กำกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจประจำป้อมบางครั่ง สภ.คุระบุรี จ.พังงา ก็เดินทางมาที่เกิดเหตุ 1 นาย เวลา 16.18 น. จะได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจตะโกนห้ามนายณัฐพล ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อเหตุ ถัดไปไม่นานก็จะมีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด เป็นจังหวะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงขู่ ให้นายณัฐพลหยุด หลังจ้วงแทงแม่เสียชีวิตแล้ว และมีเสียงภรรยาของผู้ก่อเหตุที่เห็นเหตุการณ์ร้องกรี๊ดลั่นออกมา

เวลา 16.20 น.  นางสาวแวว ภรรยาของผู้ก่อเหตุวิ่งร้องไห้ไปปากซอย พร้อมตะโกนว่า “ช่วยแม่ด้วย ช่วยแม่ด้วย” เพื่อขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่แตกตื่นและออกมายืนดูเหตุการณ์ ขณะนั้นจะเห็นว่าชาวบ้านต่างพากันออกมาดูเหตุการณ์ที่บริเวณถนน และในเวลา 16.29 น. กล้องจะจับภาพนายณัฐพลเดินนิ่ง ๆ ช้า ๆ มุ่งหน้าไปยังหน้าปากซอย ท่าทางไม่ได้ดูรีบ ซึ่งชาวบ้านบอกว่าตอนนั้นเห็นนายณัฐพลเหน็บกรรไกรที่เขาลับคมไว้ในกระเป๋ากางเกงด้วย จึงไม่มีใครกล้าออกมาที่ถนน

 

 

นางเทีย (นามสมมติ) พี่สาวของผู้ตาย บอกว่าจริง ๆ แล้วภายในซอยที่เกิดเหตุ ทุกคนล้วนเป็นเครือญาติกันหมดและเห็นถึงพฤติกรรมของนายณัฐพลที่ไม่ปลอดภัยต่อทุกคนมาตลอด โดยอาการของนายณัฐพลเป็นมาแล้วเกือบ 4 ปี แน่นอนว่าสาเหตุก็มาจากการเสพยาเสพติดจนสุดท้ายกลายเป็นผู้ป่วยจิตเวช วันดีคืนดีก็นั่งลับคมกรรไกรอยู่หน้าบ้าน แล้วเอามาขู่ขอเงินจากแม่หรือผู้ตาย บางวันก็เดินชูไม้ชูมือพูดคนเดียว ร้องไห้ สลับหัวเราะไปตามถนน สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน

ซึ่งผู้ตายก็ไม่เคยปล่อยปะละเลย ส่งตัวเข้ารักษา รับยามาทานตลอด แต่ด้วยความที่ผู้ก่อเหตุไม่ยอมเลิกยา อาการคลั่งจึงไม่หายสักที บางครั้งแม่ให้กินยานอนหลับ 3 เม็ดก็เอาไม่อยู่ อย่างเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 ม.ค. ผู้ตายแอบเอากรรไกรที่ผู้ก่อเหตุลับคมไปแอบ แต่ผู้ก่อเหตุรู้ว่าแม่เอาไป จึงขู่เอาคืน ทำให้ผู้ตายมาปรึกษากับตนว่าอยากส่งผู้ก่อเหตุไปบำบัดถาวร

ช่วง 21.15 น. ของนั้นตนก็ขอความช่วยเหลือไปยัง พ.ต.อ.อนันท์ อนุตรเวสารัช ผกก.สภ.คุระบุรี เพื่อให้เข้ามารับตัวนายณัฐพลไปบำบัด เพราะที่ผ่านมามักมีอาการคลั่ง เกรงว่าจะทำร้ายแม่หรือผู้ตาย ภรรยาและเด็กที่อยู่ในบ้านซึ่งพิการทางการมองเห็น แล้วเวลา 04.48 น. ของวันที่ 27 ม.ค. ผู้กำกับก็ส่งสติกเกอร์รับทราบกลับมา ครอบครัวจึงส่งข้อความกลับไปตอน 08.53 น. ว่า “ช่วยมาดูด้วยครับ” แต่ทางผู้กำกับตอบกลับมาว่าได้เข้าไปจับมาแล้วคนหนึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมา ครอบครัวจึงบอกว่าคนละคน พร้อมกับบอกพิกัดที่อยู่ว่าอยู่ท้ายซอย และเน้นย้ำว่าในบ้านมีผู้หญิง เด็กพิการ ผู้ตายหรือแม่ไม่ได้หลับได้นอนเลย ไม่ไหวแล้ว อยากให้มาเอาตัวนายณัฐพลไปเลย

ตนยอมรับว่าเกิดคำถามมากมายในหัว เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตั้งแต่คืนวันที่ 26 ม.ค. 66 หลังตนแจ้งผ่านผู้กำกับไปเหตุสลดก็คงไม่เกิดขึ้น แล้วทำไมในเมื่อเจ้าหน้าที่รู้ว่าต้องเข้ามาสบยคนคลั่ง ทำไมถึงมาแค่ 1 นาย และตอนเกิดเหตุทำไมไม่เข้าห้ามบ้าง ปล่อยให้ผู้ตายถูกแทงจนเสียชีวิตถึงจะยิงปืนขู่ ดังนั้นตนขอให้ครั้งนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ หลังจากนี้อยากให้เข้ามาดูแลเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดมากขึ้น หากรับแจ้งก็ขอให้เข้ามาทันที เพื่อที่จะได้ไม่เกิดเหตุแบบนี้อีก

ส่วนกับนายณัฐพล ตนก็รู้สึกโล่งใจที่ถูกจับกุมและอยากให้ส่งไปบำบัดจนกว่าจะหายดี เพราะถ้าเขากลับมา แน่นอนว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านอีก เพราะไม่มีแม่คอยดูแลเหมือนแต่ก่อนแล้ว เนื่องจากบรรดาญาติพี่น้องและชาวบ้านก็คงไม่กล้าช่วยดูแลให้ ส่วนพ่อเลี้ยงของเขาก็มีลูกที่พิการดวงตาต้องดูแล 24 ชั่วโมง

สามีของผู้ตาย คือนายสิทธิ์ (นามสมมติ) อายุ 54 ปี พ่อเลี้ยงของนายณัฐพล ผู้ก่อเหตุ บอกว่าตอนเกิดเหตุ ตนไม่ได้อยู่ที่บ้าน เพราะไปทำสวน แต่ตลอด 6 ปีที่ตนมาอยู่ที่นี่ก็เห็นว่าเขามีอาการคล้ายคนป่วยจิตมาตลอด สาเหตุก็มาจากการเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แม้จะเข้ารับการบำบัดรักษาก็ไม่เป็นผล ยังดีที่เขาไม่เคยทำร้ายร่างกายใคร เวลาที่นายณัฐพลมีอาการจะเริ่มจากท่าทางเครียด แล้วก็เริ่มคุยคนเดียว ทำไม้ทำมือ แต่ทุกครั้งที่ครอบครัวแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามา ตำรวจก็จะพูดคุย เกลี้ยกล่อมให้อารมณ์นิ่ง และไม่เคยรับไปสักที ส่วนครั้งนี้ตนคิดว่าที่เขาทำร้ายแม่ เพราะตกใจ กลัวว่าจะถูกจับกุม

ตนก็ยังคงติดใจเหมือนกับญาติคนอื่น ๆ คือทำไมไม่เข้าไปห้าม ทำไมไม่ยิงสกัดที่ขาหรือยิงขู่หลังจากที่ผู้ก่อเหตุแทงผู้ตายรอบแรก ทำไมยังปล่อยให้วิ่งตามไปแทงอีกฝั่งของถนนจนเสียชีวิตจนได้ และอีกประเด็นที่ตนคาใจ คือก่อนจะนำร่างของผู้ตายไปประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม เวลา 11.00 น. ตนโทรศัพท์ไปที่ สภ.คุระบุรี เพื่อสอบถามว่าจะส่งตัวนายณัฐพลไปฝากขังกี่โมง เจ้าหน้าที่บอกว่าจะส่งฝากขังตอน 16.00 น. ตนก็เลยเดินทางไปโรงพักเพื่อจะเข้าเยี่ยม แต่พอตนไปถึงตอนประมาณ 12.00 น. กลับได้รับแจ้งจากสิบเวรว่าได้ส่งฝากขังไปตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์ ศาลฯเปิดทำการเพียงแค่ครึ่งวัน พร้อมกับแสดงท่าทางหัวเราะใส่ตน ทำให้ประเด็นนี้ตนก็เลยไม่พอใจ อยากรู้ว่าทำไมถึงไม่สื่อสารกันให้ดี

พ.ต.อ.อนันท์ อนุตรเวสารัช ผกก.สภ.คุระบุรี ชี้แจงว่าในคืนวันที่ 26 ม.ค. ก่อนที่นางเทียจะส่งข้อความมาทางไลน์ของตนนั้น ทางโรงพักได้รับแจ้งให้เข้าไปควบคุมคนคลั่งจากละแวกพื้นที่เกิดเหตุก่อนแล้วด้วย ตนก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการและจับคุมเคสนั้นมาเรียบร้อย และเข้าใจว่าเคสที่นางเทียแจ้งมาคือเคสเดียวกัน ตอนเวลาเกือบตี 5 ของวันที่ 27 ม.ค. 66 หลังเสร็จสิ้นภารกิจก็เลยส่งสติกเกอร์กลับไปและพักผ่อน

จนตอนเช้าตื่นมาเห็นว่านางเทียส่งข้อความมาอีก ก็เลยพยายามเช็กว่าเคสเดียวกับเมื่อคืนไหม ได้รู้ว่าคนละเคส จึงบอกให้นางเทียแจ้งเข้าเบอร์โทรศัพท์ของโรงพัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ช่วงบ่ายนางเทียส่งข้อความมาอีกว่ายังไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาคุมตัวนายณัฐพลตนก็เลยรีบขอเบอร์ติดต่อกลับและประสานเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจจากป้อมที่ใกล้ที่สุดให้เข้าไปทันที พร้อมกับประสานขอกำลังเสริมจากโรงพักด้วย ยืนยันว่าไม่ได้ละเลยการร้องขอความช่วยเหลือจากประชาชนแน่นอน

ส่วนกรณีที่ว่าทำไมดาบตำรวจที่เข้าไปจุดเกิดเหตุ ไม่เข้าไปห้ามนายณัฐพล เนื่องจากตอนนั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก ไม่คิดว่าเขาจะคุ้มคลั่งถึงขั้นทำร้ายแม่ เพราะที่ผ่านมาเข้าไปเจรจาก็สงบตลอด ครั้งนี้ถือว่าคลั่งหนัก ขนาดที่ว่าพาไปโรงพักแล้วก็ยังไม่หาย มาอาการดีขึ้นตอนเช้าก่อนฝากขัง ตนเข้าไปคุยด้วยนายณัฐพลหลังทราบว่าฆ่าแม่ตัวเองก็ร้องไห้โฮ บอกว่าตอนก่อเหตุไม่รู้ตัวจริง ๆ เพราะฤทธิ์ยาเสพติด

และที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถยิงสะกัดนายณัฐพลได้ เพราะตามระเบียบวินัยและหลักปฎิบัติแล้วไม่สามารถทำได้โดยพละการ เนื่องจากมันเป็นการทำเกินกว่าเหตุ หากกระสุนพลาดไปโดนแม่หรือผู้ตาย ก็จะกลายเป็นประเด็นและจำเลยสังคมอีก บวกกับตอนเกิดเหตุ เป็นเหตุสุดวิสัยด้วย เพราะผู้ตายพยายามกันลูกชายไม่ให้เข้าหาตำรวจ กลัวจะไปทำร้ายตำรวจ เจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถยิงสกัดได้จริง