เปิดใจเมียซีอีโอดับปริศนา ญาติคาใจหวั่นถูกวางยา ยืนยันไม่เกี่ยวข้องการตายของสามี พร้อมตั้งข้อสังเกตน้องสาวที่ตัดขาดความเป็นพี่น้องกันกว่า 10 ปี ออกมาเคลื่อนไหว ทั้งที่ไม่เคยโผล่ไปงานศพพี่ชาย อยากถามต้องการอะไรตอนตายไม่ไปเผาศพ แต่ถามหาสมบัติ
จากกรณีน้องสาวนำหลักฐานเข้าร้องขอความช่วยเหลือกับ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ที่สำนักงานกฎหมายทนายคลายทุกข์ เกี่ยวกับกรณีการเสียชีวิตของพี่ชาย นายพิชิต กลีบจินดา หรือ ต้น อายุ 44 ปี เจ้าของธุรกิจสอนนวดแผนไทย ที่ จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยสภาพศพดำคล้ำผิดปกติสงสัยว่า ถูกวางยาพิษ จึงอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพี่ชาย
ล่าสุดทีมข่าวอมรินทร์ทีวี โทรศัพท์ติดต่อไปที่ภรรยาของ นายพิชิต ผู้เสียชีวิต ระบุว่า วันนี้ตัวเองไม่สะดวกที่จะให้ทีมข่าวไปพบ เพื่อให้สัมภาษณ์ชี้แจงในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของสามี รวมทั้งสาเหตุที่น้องสาวของสามีออกมาเคลื่อนไหวอยู่ในตอนนี้ เพราะตัวเองอยู่กับลูกๆ ทั้ง 3 คน และเป็นห่วงความรู้สึกของลูกมาก
โดยภรรยาของ นายพิชิต บอกว่า ส่วนตัวก็ไม่ทราบถึงสาเหตุที่น้องสาวของสามี ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพี่ชาย ว่าทำไปเพื่ออะไรและต้องการอะไร เพราะทั้ง 2 คน มีปัญหาทะเลาะกันนานแล้ว ซ้ำได้ประกาศตัดขาดความเป็นพี่น้องกันมานานกว่า 10 ปี ซึ่งหลังจากที่ทั้ง 2 คนมีปัญหากัน น้องสาวก็ได้เปลี่ยนชื่อ-นามสกุลหนีไปเลย ไม่เคยติดต่อกัน กระทั่งเป็นข่าวก็เพิ่งได้เห็นผ่านทางสื่อ
ภรรยาของนายพิชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้กระทั่งตอนพี่ชายเสียชีวิต น้องสาวคนนี้ก็ไม่ได้มาร่วมงานศพแม้แต่วันเดียว ส่วนเมื่อถามว่าตอนนี้มีความกังวลใจอะไรไหม ภรรยาของนายพิชิต บอกว่า ไม่ได้มีความกังวลอะไร ทั้งยังมองว่าทางฝั่งของน้องสาวของสามีจะออกมาเคลื่อนไหวอะไรก็ถือเป็นสิทธิ์ แล้วก็ปล่อยให้เขาทำไป
แต่ที่ตนอยากตั้งข้อสังเกตคือ งานศพพี่ชายน้องสาวยังไม่ไปร่วมงาน แล้ววันนี้จะมาเรียกร้องอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น กลับกันหากมองในมุมของตัวเอง คนตาย คือ สามี แล้วเป็นพ่อของลูก ทุกคนคิดว่าตัวเองไม่เสียใจกับการจากไปของสามีเหรอ มีใครรับรู้บ้างว่าตัวเองต้องเข้มแข็งต่อหน้าลูกๆ มากแค่ไหน
ขณะเดียวกันพอเป็นข่าว ตัวเองก็ตกเป็นจำเลยของสังคม เมื่อลูกๆ ไปโรงเรียนต้องเจอกับคำถามอะไรบ้าง ตัวเองต้องปกป้องมากขนาดไหน มีใครเข้าใจตรงส่วนนี้บ้าง
ทั้งนี้ภรรยาของนายพิชิต ฝากถามน้องสาวสามีว่า ที่ออกมาทำแบบต้องการอะไรจากครอบครัวของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาตัดขาดกันไปนานแล้ว ทั้งยังอยากถามด้วยว่า ถ้าสงสัยทำไมไม่มาร่วมงานศพพี่ชาย ซึ่งส่วนตัวมองว่า แม้จะเคยโกรธหรือเกลียดกันมากแค่ไหน แต่เมื่อรู้ว่าพี่ชายเสียชีวิตก็ควรมาร่วมส่งดวงวิญญาณเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ใช่มาถามหาสมบัติ มาสืบเสาะหาว่าพี่ชายมีทรัพย์สินอะไรบ้าง เพราะข้อเท็จจริงคือตัวเองกับสามีเริ่มจากคนที่ไม่มีอะไรเลย กระทั่งแต่งงานกันก็เริ่มสร้างครอบครัว สร้างธุรกิจ และสร้างฐานะมาด้วยกัน
ส่วนที่ตัวเองให้ญาติพาลูกสาวไปที่บ้านย่านพัฒนาการ 20 ก็เพราะก่อนหน้านี้ลูกสาวเลี้ยงแมวไว้ จึงเข้าไปเอาแมวมาดูแลโดยบ้านหลังดังกล่าว ก็คือบ้านของตัวเองกับสามีที่ซื้อไว้ ไม่ใช่บ้านของแม่สามี แล้ววันนี้ตอนที่ลูกสาวเข้าไป ก็มีคนที่อยู่ในถามว่า “ มาทำไม” ซึ่งตามจริงตัวเองจะแจ้งความเอาผิดคนเหล่านั้นฐานบุกรุกก็ย่อมทำได้ ขณะที่ตั้งคำถามว่า ตอนนี้ตัวเองต้องพาลูก 3 คน ออกไปเช่าคอนโดอยู่ แต่คนอื่นพากันเข้าไปอยู่ในบ้านของตัวเอง มันยุติธรรมแล้วหรือ
ภรรยาของนายพิชิต บอกอีกว่า หลังจากเป็นข่าว และตัวเองอยู่เงียบๆ ไม่ได้ออกมาตอบโต้ ก็เพราะรู้ว่าเรื่องจริงคืออะไร จึงไม่อยากออกมาโต้แย้ง อย่างภาพศพของสามี ที่บอกว่าดำคล้ำผิดปกติ ก็ตั้งข้อสังเกตว่ามีการปรับสี ปรับเเสง หรือไม่ เพราะรูปที่คนอื่นๆ ถ่ายไว้ไม่เป็นแบบนี้ ส่วนศพของสามีนั้นยอมรับว่า ไม่ได้ฉีดฟอร์มาลีน เพราะตอนแรกทางญาติสามีแจ้งว่าจะนำไปชันสูตร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอาไป จึงใช้วิธีบรรจุใส่โลงเย็นแทน แต่ทราบว่าในการสวดพระอภิธรรมคืนที่ 2 โลงเย็นขัดข้อง ความเย็นไม่ทั่วถึง ซึ่งทางร้านก็ได้นำโลงเย็นมาเปลี่ยนให้ใหม่ จึงอาจทำให้ศพเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
ภรรยานายพิชิต ยืนยันว่า ไม่ได้ขัดข้องหรือกีดกันเรื่องส่งศพสามีไปชันสูตร และไม่ได้พูดด้วยว่า ถ้าตรวจเจอสารเสพติดหรือยาพิษประกันจะไม่จ่าย นอกจากนี้ยังยืนยันด้วยว่า ไม่ได้รีบเผาศพสามี เพราะหากดูจากเฟซบุ๊กที่โพสต์ไว้ตัวเองได้แจ้งว่า “กำหนดการรอก่อนนะคะ ญาติพี่ต้นยังมาไม่ถึง “
ทั้งนี้ขอยืนยันว่า ก่อนที่สามีจะเสียชีวิต ไม่ได้ป่วย หรือมีโรคประจำตัวอะไร แต่เนื่องจากตัวเองได้แยกกันอยู่กับสามีได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว ระหว่างนั้นก็ไม่ทราบว่าสามีไปทำอะไรมาบ้าง ส่วนเรื่องประกันชีวิตสามีทำไว้ทั้งหมด 3 ฉบับ และเป็นชื่อลูก 3 คน เป็นผู้รับผลประโยชน์ เนื่องจากก่อนหน้านี้ตัวเองกับสามีได้ตกลงกันว่าจะทำประกันไว้ให้ลูก เพราะถ้าหากวันนึงตัวเองกับสามีไปไม่ถึงปลายทางลูกๆ จะได้ไม่ลำบาก
สุดท้ายภรรยานายพิชิต ได้พูดถึงน้องสาวของสามีว่า ถ้าเป็นตัวเอง แล้วพี่ชายเสียชีวิต ก็คงไม่มาถามหาสมบัติอะไร ครั้งสุดท้ายที่จะทำให้พี่ชายได้ คือไปเผาศพ เพราะที่ผ่านมาไม่ได้คุยกันเป็น 10 ปี ด่ากัน ทะเลาะกัน แค่ให้อภัยกันครั้งเดียววันเผาศพ น้องสาวของสามียังทำไม่ได้เลย แล้ววันนี้จะมาเรียกร้องอะไร ภรรยานายพิชิต กล่าว
Advertisement