จากกรณีชายรายหนึ่งรมควันตัวเองในรถกระบะ หลังจากเกิดความน้อยใจภรรยาที่ไล่ออกจากบ้าน ทำให้ตัดสินใจรมควันตัวเองจนเสียชีวิต พร้อมทิ้งจดหมายน้อยสั่งเสียเอาไว้ โดยมารดาผู้ตายหลังทราบเรื่องเสียใจจนบอกว่า อยากจะฆ่าตัวตายตามลูกชายไปด้วย
ล่าสุดวันที่ 10 ก.ย.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางมาที่วัดธรรมศาลา สถานที่ตั้งสวดอภิธรรมศพ นายจักรวาล บู่ทอง หรือ อ๊อด อายุ 42 ปี
ทีมข่าวเดินทางมาถึงพบกับ นางอำไพพร บู่ทอง มารดาผู้ตาย ยังอยู่ในอาการเสียใจ ร้องไห้ออกมาเป็นระยะ ๆ เมื่อพูดถึงลูกชาย เปิดเผยว่า ตนไม่ทราบปัญหาที่แท้จริงของลูกชาย แต่ลูกเป็นคนขี้น้อยใจ ซึ่งปกติลูกชายจะพักอาศัยอยู่กับภรรยา ตนก็จะโทรศัพท์ไปตามขอให้มารับแม่ไปซื้อผลไม้อยู่เป็นประจำ
เช่นเดียวกับวันที่ 9 ก.ย.63 ที่ผ่านมา ตนขายของช่วงเช้า จากนั้นก็นัดกับลูกชายให้พาไปตลาดในตัวเมืองนครปฐม เพื่อเตรียมผลไม้ไว้ขายวันพระ ซึ่งลูกชายก็คุยกับตนว่าไม่ต้องซื้อของเยอะ ให้ซื้อมาแค่พอขาย เมื่อตนขายของช่วงเช้าเสร็จ ก็จะออกไปซื้อของอีก โดยลูกชายพาตนไป ซึ่งตนก็ออกไปขายของอีกช่วงเย็น รอบนี้ลูกชายบอกตนว่าเหนื่อย ขอให้ลูกสาวไปส่ง โดยก่อนออกไปตนให้เงินลูกชายไว้ 200 บาท ก็บอกว่าให้เก็บเอาไว้กินข้าว อยากกินอะไรให้ซื้อ ซึ่งลูกชายบอกว่า “จะย่างปลากินกับพ่อ” และบอกว่าว่าเหนื่อย ขอให้น้องสาวไปส่งแทน
ในเวลา 14.00 น. ตนก็ออกจากบ้านไป ซึ่งตนก็ไม่รู้เรื่องเลย เพราะโทรศัพท์มือถือตนเสีย น้องสาวก็กลับมาบ้าน จนกระทั่งช่วงเย็นลูกสาวไปรับตน ตอนนั้นตนไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกหงุดหงิด ขายของไม่ได้ รู้สึกเป็นห่วงลูกชาย ตนก็ยังดุลูกสาวไปว่าทำไมมารับช้า
ลูกชายคนนี้เป็นคนขี้น้อยใจ ใครทำอะไรให้ก็จะน้อยใจง่าย ซึ่งลูกกำลังจะผ่าต้อกระจกเดือน ต.ค.63 ซึ่งก่อนเกิดเหตุ 2-3 วันลูกชายมีปัญหาทะเลาะกับครอบครัวด้วย มีความเครียดเรื่องงาน เพราะตั้งแต่โควิด-19 ระบาดก็ตกงาน
โดยตนรู้เรื่องจากลูกสาว ตอนที่ไปรับตนช่วงเย็นวานนี้ ระบุว่า ผู้ตายเป็นอะไรไม่รู้ ขับรถกระบะพุ่งเข้าไปในพงหญ้าหน้าบ้าน ปิดกระจกไว้ เรียกเท่าไรก็ไม่ขานรับ เมื่อตนได้ยินแบบนั้นใจคอก็ไม่ดี ตนยังบอกลูกสาวทำไมไม่ทุบรถไปเลย ซึ่งลูกสาวบอกว่าถูกผู้ตายด่าไม่ให้ยุ่ง ไม่ให้ทุบ
ส่วนตัวคิดว่าหากอยู่บ้าน เชื่อว่าลูกชายคนไม่ตาย ตนคงทุบรถ เมื่อตนถึงบ้านตนก็เข้าไปที่พงหญ้าดังกล่าว เห็นรถล็อก ตนก็สั่งให้ทุบรถเลย เพราะตนไม่เสียดายรถ ตนเสียดายลูก กระจกรถเปลี่ยนได้ คนตายมันเอาคืนไม่ได้ ตนไม่รู้เลยว่าลูกจะฆ่าตัวตาย มีแต่คืนวานนี้ที่ลูกชายพูดกับตนอยู่บางครั้งว่า จะไปที่ชอบ ๆ ซึ่งตนไม่คิดว่าคำพูดจะเป็นจริง ตนถามลูกจะบวชไหม เขาก็บอกว่าไม่บวช จากนั้นลูกชายยังพูดเป็นลางทำนองว่า หากไม่อยู่แล้วใครจะขับรถพาแม่ไปซื้อของ
นางอำไพพร ระบุทั้งน้ำตาว่า ตอนที่ตนเจอศพลูก ตนบอกจะฆ่าตัวตาย เพราะชีวิตจิตใจตนพังสลายไปหมด ไม่มีใครอยากอยู่ ใจแม่ร้าวมาก ตอนนี้ก็มีลูกสาวเป็นกำลังใจ ที่ทนอยู่ได้ตอนนี้คือเป็นห่วงหลานกับห่วงสามีที่ป่วย เพราะตนเป็นเสาหลักของครอบครัว หากตนไม่อยู่สักคน คนในครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร
หลังจากนั้น นางอำไพพร แม่ของผู้ตาย ได้ขอดูหน้าลูกเป็นครั้งสุดท้าย โดยยืนเกาะโลงศพลูก เอามือลูบหน้าลูก และบอกว่า ทำไมไม่ห่วงแม่ ขอให้มาหาแม่ทุกคืนเลยได้ไหม โดยให้ลูกสาวถ่ายรูปผู้ตายไว้ดูต่างหน้า
นางอำไพพร ระบุว่า ทำไมถึงคิดสั้น ทำไมไม่ห่วงแม่ ขอให้ไปดี ขอให้ลูกไปสู่ภพที่ดี อย่าไปลำบาก ไม่ต้องห่วงลูกเมีย แม่จะดูแลเอง หากหลานเจ็บป่วยแม่จะพาไปเอง จากนั้นครอบครัวต้องหิ้วปีกผู้เป็นมารดาไปนั่งพัก เนื่องจากห่วงว่าจะเป็นลม ซึ่งนางอำไพพร ได้เอารูปหน้าศพลูกชายมากอด มาลูบ พร้อมส่งให้สามีที่ป่วยจิตเวชดู ซึ่งบรรยากาศค่อนข้างโศกเศร้า
น.ส.ดาว ภรรยาผู้เสียชีวิต ซึ่งก็อยู่ในอาการเสียใจ เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุยอมรับว่าทะเลาะกันตามประสาผัวเมีย ซึ่งแต่ละครั้งที่ทะเลาะกันมักจะบ่นไม่อยากมีชีวิตอยู่ เป็นแบบนี้บ่อยครั้ง ปกติสามีเป็นคนขี้น้อยใจ ยอมรับว่า ตนขนเสื้อผ้าสามีมาให้ที่บ้านแม่จริง ซึ่งตนไม่ได้ไล่ออกจากบ้าน เพียงแต่เห็นว่า เมื่อทะเลาะกันสามีมาอยู่บ้านแม่ ก็เลยนำเสื้อผ้ามาให้ เพราะสามีเคยมาบ้านแม่แบบนี้หลายครั้งแล้ว บางครั้งอยู่เป็นสิบ ๆ วัน
สามีคุยกับตนครั้งสุดท้ายช่วงเวลา 15.00 น. โดยสามีโทรศัพท์มาหา บอกตนว่าให้ตนมาเอารถกระบะคันที่เขาใช้ฆ่าตัวตายมาให้ลูก ตนก็บอกว่าให้ขับรถมาให้ลูกเอง ซึ่งสามีบอกว่า "จะไม่ขับไป เพราะจะตายอยู่บ้าน" ส่วนตัวไม่คิดว่าสามีจะก่อเหตุ เพราะเรื่องล่าสุดที่ทะเลาะกัน เป็นเรื่องปกติ และเพิ่งทะเลาะได้แค่ 2 วัน หลังจากนี้ตนต้องดูแลลูกต่อไป สามีไปสบายแล้ว ตนก็ไม่มีอะไรจะพูดถึงสามี
Advertisement