จากกรณียูทูบช่องหนึ่ง ปล่อยคลิปเสียงปริศนา EP4 ผู้หญิงคุยกับคนในบ้านกกกอก โดยคนในบ้านกกกอก ตั้งข้อสันนิฐานว่า ตอนเจอศพน้องชมพู่ แล้วส่งไปตรวจชันสูตรครอบครัวไม่เห็นมีใครไปสักคน มีแต่ลุงพลที่ตามไป ตั้งแต่รับศพลูกมาที่จังหวัดอุบลฯ มาไว้ที่บ้าน ก็เตรียมที่จะเผา
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
โดยเสียงผู้ชาย ยังบอกอีกว่า ไม่รู้ว่าครอบครัวทะเลาะอะไรกัน ตอนออกตามหาน้องชมพู่ จนกระทั่งเจอศพ คืนก่อนเผาช่วงตี 2 ตำรวจนำร่างน้องไปตรวจที่นิติเวช รพ.ตำรวจ กรุงเทพฯ ลุงพลก็เป็นคนเดียวที่ตามตำรวจไป
ขณะเดียวกันหญิงสาว ได้ถามชายในคลิปว่า ไม่รู้ใครให้คนในครอบครัว พูดว่า คนร้ายอยู่ในบ้าน ชายในคลิป ตอบว่า ไม่รู้ว่า จุดประสงค์จะบอกว่าคนร้ายอยู่ในหมู่บ้าน หรืออยู่ในบ้าน ถ้าความหมายบ้าน ก็คงหมายถึงบ้านของคนที่พูด ส่วนเหตุผลที่ออกมาพูดแบบนั้น คาดว่าคงเมา ถ้าไม่เมาคงไม่กล้าไปพูดหน้าบ้านลุงพล
ทั้งนี้ยังมีเสียงปริศนา EP พิเศษ ที่ตั้งประเด็นและข้อสงสัยเรื่องการเงินบริจาค 3 ล้านบาท แต่แม่น้องชมพู่บอกว่ามีแค่ 1-4 แสนบาท และมีการเปิดเผยว่า วันที่ 12-14 พ.ค.63 มีคนนำเงินสดมาให้ไม่ต่ำกว่า 5 แสน หมื่นบาท ส่วนระยะเวลา 7-10 นาที ไทม์ไลน์ของลุงพลนั้น ไม่สามารถทำอะไรได้ เข้าห้องน้ำก็หมดเวลาแล้ว
ล่าสุดวันที่ 22 ก.ย.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางไปที่หมู่บ้านกกกอก จ.มุกดาหาร โดยได้พูดคุยกับ นางพงศ์สุดา เชื้อคนแข็ง ย่าของน้องอชิ เปิดเผยว่า ภายหลังตนได้ฟังคลิปเสียงทั้งหมดที่ถูกเผยแพร่ออกมา ยืนยันว่าเป็นเสียงของผู้ใหญ่บ้านกกกอก และเรื่องที่เล่าก็คือความจริงที่ชาวบ้านรู้กันดี ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ความจริง ตนเชื่อว่าผู้ใหญ่บ้านไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะโจมตีใคร หรือใส่ร้ายใคร และตนก็ยังเชื่อว่าผู้ใหญ่อาจต้องไว้ใจและมีความสนิทพอสมควร จึงได้เล่าเรื่องราวหลายเรื่อง คุยกันนานนับชั่วโมง
ส่วนกรณีเรื่องพ่อแม่ชมพู่ขึ้นเขาไปตามหาลูกเพียงลำพังช่วงกลางดึกวันที่ 12 พ.ค.63 ย่าอชิ บอกว่า เรื่องนี้ก็เป็นความจริง เพราะพ่อของน้องชมพู่เคยพูดกับชาวบ้านว่า “จุดที่เจอศพ เคยขึ้นไปแล้ว แต่ไปไม่ถึง เพราะไฟส่องกบดับไปเสียก่อน” ประกอบกับเช้าวันที่ 12 พ.ค.63 น้องอชิ อ้อนและร้องขอให้ตนพาไปบ้านชมพู่ ตนก็พาไปช่วงสาย จำได้ว่าเป็นช่วงเวลาประมาณ 09.00 น. แต่ไม่เจอพ่อแม่น้องชมพู่ ตนจึงถามยายสวมควรว่า “นุช ไปไหน” ยายบอกว่า “ไปตามหาลูกบนเขา ยังไม่กลับลงมา” ตนก็ได้แต่ออกตามหากันพื้นที่รอบ ๆ ตีนเขา และสวนยาง ดังนั้นสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดในคลิปกับหญิงปริศนาก็เป็นความจริง
ทั้งนี้ย่าอชิ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า กรณีเรื่องการขึ้นเขาของพ่อแม่ ขึ้นไปแล้วไฟส่องกบดับ หากมีการค้นหาบนภูเหล็กไฟ แล้วไม่มีไฟสองสว่าง จึงเป็นไปได้ยากที่จะเดินลงมาด้วยความมืด แต่ก็ไม่รู้ว่าพ่อและแม่ของชมพู่นั่งรอจนสว่าง เพื่อจะเดินลงมาก็เป็นไปได้ หรือถ้าเกิดมีความชำนาญทางก็ต้องเคยใช้ทางดังกล่าวมาแล้ว หรืออาจจะพอเดินทางลงมาได้โดยไม่ต้องมีไฟสองสว่างแต่ทั้งนี้หากเป็นตนคงไม่ฝืนลำบากที่จะเดินลงมาโดยที่ไม่มีไฟสองสว่าง
ขณะเดียวกันยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการลงเขา แล้วไปค้นหาชมพู่เพียงลำพังของพ่อแม่ ว่า ในวันที่ลงมาจากเขา ยังไม่เจอศพ หรือเบาะแสของชมพู่ แต่ทำไมพ่อแม่ถึงร้องไห้ลงมาจากเขา ซึ่งไม่ทราบว่ามีนัยสำคัญอะไร หรืออาจเป็นเพราะเสียใจที่หาลูกไม่เจอ
กรณีเรื่องของตาชาญ ที่ออกมาพูดทำนองว่า “คนร้ายคือคนในบ้าน” ตนเชื่อว่าเจตนาของตาชาญต้องการสื่อสารว่า คนร้ายเป็นคนในหมู่บ้าน เพราะเป็นการพูดด้วยสำเนียงภาษาภูไท ไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นคนในบ้าน หรือคนในครอบครัวของชมพู่ เว้นแต่ว่าตาชาญทราบเรื่องราวบางอย่าง จึงพูดอะไรออกมาหรือไม่
แต่ทั้งนี้ตนอยู่ในเหตุการณ์วันที่ตาชาญกล่าวคำดังกล่าวออกมา โดยตาชาญอยู่ในอาการเมา และไปพูดในขณะที่ไปร่วมงานบ้านของลุงพล จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจไม่ทันคิด แล้วพูดคำดังกล่าวออกมา
อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนในหมู่บ้าน ก็รู้สึกเห็นใจและสงสารผู้ใหญ่บ้าน ที่อาจมีการพูดคุยความจริงหรือเล่าเรื่องราวให้หญิงปริศนาฟัง แต่ถูกนำไปเผยแพร่ ถูกโจมตี ถูกมองไม่ดีจากคนในสังคม แต่ตนในฐานะชาวบ้านก็ยังคงให้กำลังใจ และเชื่อว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดนั้นเป็นความจริงที่ชาวบ้านหลายคนรู้กัน
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวยังได้สังเกตความเคลื่อนไหวภายในหมู่บ้านกกกอก พบว่า ภายหลังที่คลิปถูกเผยแพร่ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ กระจายกำลังลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยได้เข้าไปพูดคุยและเก็บข้อมูลจากชาวบ้าน แล้วยังมีชุดสืบเข้าไปสังเกตการณ์ระหว่างบ้านลุงพล - แม่ชมพู่ อีกทั้งยังพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านกกกอก
กรณีนายธนกฤต หลาบโพธิ์ สามีผู้ใหญ่บ้านขัวสูง โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว ทำนองว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาหาที่เถียงนา มาคุยเรื่องคดีชมพู่ จะถ่ายคลิปแต่ตำรวจไม่ยอมให้ถ่าย และพร้อมจะให้ความร่วมมือ ตอบตามความจริง
ทีมข่าวได้ติดต่อไป นายธนกฤต หลาบโพธิ์ สามีผู้ใหญ่บ้านขัวสูง ซึ่งเจ้าตัวเดินทางไปสวน และนอนเฝ้าสวน ไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ แต่ให้ข้อมูลทางโทรศัพท์กับทีมข่าวว่า วันนี้ตำรวจมาหาตนจริง ซึ่งมาพร้อมกับตำรวจยศผู้กอง และดาบตำรวจ เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ มาหาที่เถียงนา มาคุยตนก็ยืนยันช่วงเวลาที่เจอกับพ่อน้องชมพู่ขณะขับรถไถ่ผ่าน จากนั้นก็ถามย้อนไปมา คำถามเดิม ๆ ว่าเจอกี่โมง จะไปไหน พ่อชมพู่ขับรถอะไร ตนจึงเกิดอารมโมโห จะขออัดคลิป ตำรวจจึงบอกว่า มาเพื่อยืนยันในฐานะพยานฝั่งพ่อชมพู่ จากนั้นตำรวจใช้เวลาแค่ 15 นาที ก็เดินทางกลับออกไป โดยตนไม่ได้เซ็นเอกสารอะไร มีแต่ตำรวจที่เขียนในสมุดสีน้ำเงิน
ทีมข่าวเดินทางมาพบกับ นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เปิดเผยว่า ช่วงปลายสัปดาห์นี้ตนจะเดินทางไปบ้านกกกอกด้วย โดยจะมีทนายโนบิตะ หมอปลา ลุงพล ป้าแต๋น จะไปเจอกัน ส่วนทนายตั้มติดว่าความ ไม่ได้เดินทางไป
ส่วนตัวตนได้ฟังคลิปเสียงทั้งหมดแล้ว มองว่าเป็นประโยชน์กับลุงพล เนื่องจากเนื้อหาในคลิปบางช่วงมีการพูดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการฆ่า มีการวางแผนอย่างดี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ตำรวจควรจะมีการเรียกมาสอบปากคำเพิ่มเติม เผื่อจะได้อะไรเพิ่ม รวมทั้งคำพูดที่บอกว่า การที่มาสงสัยลงพลเพราะมีคนบอกให้พูด
ครั้งนี้การเดินทางไปบ้านกกกอก ถือว่าเป็นการเดินทางไปช่วยเหลือเรื่องคดี ไม่ใช่แค่ไปสังเกตการณ์ เพราะตนมองว่าหากลุงพลไม่ใช่คนก่อเหตุ เขาถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ตนอยากนำหลักฐานไปมอบให้ตำรวจ ตนพร้อมจะช่วยคดีเต็มที่ ไม่ได้เข้าข้างใคร ดูตามพยานหลักฐาน หากไม่ได้กระทำก็ยินดีช่วย หากกระทำก็ต้องรับสารภาพ ไม่ใช่แค่ลุงพล จะเป็นใครตนก็พร้อมช่วย ตนไม่ได้เข้าข้างใจ
อีกอย่างตนฟังจากคลิป มองว่าการพูดคุยของคนในคลิป ตนไม่เชื่อว่าเป็นการบังคับ เพราะการคุยสนุกสนาน เหมือนคุยกันปกติ ไม่เหมือนบังคับ และคลิปค่อนข้างยาว ตนเห็นใจลุงพล ถึงแม้ลุงพลจะได้รับความนิยม แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ครหาลุงพลว่าเป็นคนร้าย ซึ่งตนอยากให้คนเลิกคิดแบบนี้ เพราะถึงตอนนี้ตำรวจเองยังพูดไม่ได้เลยว่าใครเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะตำรวจเองยังไม่กล้าออกมาบอกเลยว่าใครต้องสงสัย
นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา เปิดเผยถึงความคืบหน้า เรื่องนำคลิปเสียงตัวเต็มไปให้ผู้บังคับการตำรวจธูธรจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ไม่ได้ไปด้วย เพราะติดภารกิจ จะมีนายรัชพล ศิริสาคร ทนายรัชพล และนายกฤษฎา โลหิตดี หรือทนายโนบิตะ ไปแทน โดยส่งเอกสาร ให้กับทนายโนบิตะ ไปหมดแล้ว และจะมอบคลิปบางคลิปที่ไม่ได้ปล่อยลงโซเชียลฯ เอาไปให้ผู้การด้วย เพื่อเป็นหลักฐานว่า ไม่ได้ตัดต่อคลิป
หมอปลา ยังโชว์ภาพข่าวของอมรินทร์ทีวี รายการทุบโต๊ะข่าว เหตุกาณณ์ที่ตำรวจไปค้นบ้านลุงพล และลุงพลกำลังเล่นกับหมา จึงคิดได้ว่าทำไมถึงมีคนอยากเล่นงานลุงพล เพราะลุงเป็นคนจน อยากจะฝากบอกคนที่ใส่ร้ายลุงพล แม้กระทั่งในคลิปเสียงที่บอกว่า ลุงพลเป็นคนทำ อยากจะบอกว่า คนจนก็คือคนเหมือนกัน กฎหมายต้องคุ้มครองทั้งคนจนและคนรวย
ส่วนเรื่องจะไปหาผู้ใหญ่บ้านกกกอกหรือไม่ ขอบอกว่าตนคงไม่ไปหา เนื่องจากก่อนหน้านี้ ตนเคยไปหาผู้ใหญ่บ้าน 2 ครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เจอ ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่มารอเจอ ครั้งนี้คงไม่ไปหา เพราะไปหาก็คงไม่เจอ ไม่รู้ไปโกรธอะไร
ส่วนประเด็นที่พูดว่า พูดไปเพราะอยากจะตัดความรำคาญ อยากให้คนที่ฟังคลิปเสียงทั้งหมด ลองคิดดูว่า นี่คือเสียงของคนที่พูดโกหก หรือพูดเพราะตัดความรำคาญหรือไม่ นี่คือเรื่องโกหกหรือไม่ เพราะเสียงที่พูด เหมือนคนพูดกำลังมีความสุขในการสนทนา ถ้ารำคาญคงไม่คุยเป็นชั่วโมง และที่สำคัญไม่ได้คุยครั้งเดียว คุยกันหลายครั้ง จนผู้ชายในคลิปพูดระบายเรื่องที่คาใจออกมา เพราะรู้อะไรมามาก แต่ไม่มีที่ระบาย
นายแพทย์สิทธา ลิขิตนุกูล หรือ หมอกอล์ฟ เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “คุณหมอสตอรี่” วิเคราะห์คลิปเสียงผู้ใหญ่บ้าน กับสาวปริศนา มองว่า เสียงของผู้ใหญ่บ้าน นำเสียงเป็นลักษณะที่ใหญ่ แสดงถึงรูปร่างที่ใหญ่พอสมควร เป็นคนเสียงทุ้มเสียงห้าว ลักษณะการพูด จังหวะการพูด น้ำเสียงที่ใช้ ทำให้วิเคราะห์ถึงพฤติกรรมได้ว่า เป็นคนที่พูดตรงไปตรงมา เป็นคนพูดแบบจริงใจ เป็นคนที่ตอบคำถามอธิบายรายละเอียดได้เรื่อย ๆ เป็นคนมีเมตตา มีคุณธรรม
แต่มีบางจังหวะที่พูดคุยแบบลากเสียงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ ลากเสียงบ่อย ยังสะดวกใจที่จะคุยกับปลายสายอยู่ ในคลิปความยาวประมาณ 15 นาที มีการคุยแบบต่อเนื่อง ไม่มีติดขัดอะไร บางครั้งมีการหลุดคำหยาบคายมาบ้าง แสดงออกถึงความสนิทกับปลายสายพอสมควรในระดับหนึ่ง ถึงกับหยอกเล่นกันได้
หมอกอล์ฟ บอกอีกว่า คลิปเสียงนี้ถือว่าเป็นคำพูดที่มีน้ำหนัก ค่อนข้างน่าเชื่อถือ เป็นคำพูดห้วน ๆ ตรงไปตรงมา เป็นคำพูดในลักษณะบ่งบอกถึงความจริงใจ และเชื่อถือได้
ด้านนายไชย์พล วิภา หรือลุงน้องชมพู่ เปิดเผยว่า คลิปทั้งหมดที่ปล่อยออกมา ข้อเท็จจริงคืออะไร อยากให้เจ้าของเสียงไปชี้แจงด้วยตัวเอง ในสิ่งที่พูดและสื่อออกมาว่าข้อเท็จจริงมันคืออะไร แต่เท่าที่ตนได้ติดตามฟังคลิป ส่วนใหญ่ก็คือเรื่องจริง แต่ก็มีบางเรื่องที่ตนไม่รู้ จึงมิกล้าแสดงความคิดเห็น เช่น กรณีเรื่องของพ่อตา ตอนที่เคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน “เสียงในคลิป ถ้ามีมูลความจริง ขอให้ออกมาชี้แจง จะได้ทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย และจะได้ชัดเจนขึ้น” แต่ทั้งนี้นอกจากคลิปที่ถูกเผยแพร่ออกมาแบบถูกตัดแล้ว ยังมีคลิปตัวเต็ม ที่หมอปลาเตรียมจะนำไปยื่นให้ผู้การมุกดาหาร ในวันที่ 25 ก.ย.63 และส่วนตัวก็เชื่อว่าคลิปนี้จะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี
ถ้าฟังจากคลิปตอนนี้ จะเอนเอียงหรือชี้เป้าไปฝั่งของพ่อแม่น้องชมพู่ ดังนั้นตนก็อยากให้ทางฝ่ายพ่อแม่น้องชมพู่ออกมาชี้แจงเพื่อความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งถ้าเป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้าง ก็ไม่สามารถเอาผิดใครได้ เพียงแค่ออกมาพูดความจริง หรือชี้แจงให้สังคมเข้าใจก็พอแล้ว
ลุงพล บอกว่า ตนในฐานะที่เคยผ่านประสบการณ์เกี่ยวกับแรงกดดัน ก็ไม่รู้จะฝากหรือให้กำลังในอย่างไร แต่ก็เชื่อว่าฝ่ายของแม่น้องชมพู่ ก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองพอสมควร เชื่อว่าจะเอาตัวรอดได้ ส่วนประเด็นที่ชาวบ้าน ตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับไฟส่องกบหมด ความจริงแล้วไฟส่องกบ จะไม่หมดเสียทีเดียว เพียงแค่แสงไฟจากเบาลงเล็กน้อยเท่านั้น ตนยืนยันว่าจะไม่สามารถหมดได้อย่างทันท่วงที และการมองจากตีนภู ขึ้นไปยังด้านบน ถ้าหากมีการสังเกตอย่างดี ก็จะพอเห็นแสงสว่างของไฟส่องกบ ที่กลุ่มชาวบ้านใช้ แต่ยกเว้นถ้าไม่สังเกตก็จะไม่เห็น ทั้งนี้ช่วงเดือน พ.ค.63 เป็นช่วงที่ป่าไม่รก ยิ่งง่ายต่อสิ่งที่จะมองเห็นแสงไฟ
วันเดียวกัน นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ป้าน้องชมพู่ เปิดเผยว่า ตนได้ติดตามคลิปที่ถูกเผยแพร่ ซึ่งมีน้ำหนักเอนไปฝั่งของฝั่งพ่อแม่น้องชมพู่ ซึ่งตนในฐานะพี่สาว ก็รู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เพราะก็ยังเป็นคนในครอบครัวด้วยกัน แต่ที่ผ่านมาตนกับลุงพลก็เคยตกอยู่ในสถานะดังกล่าวมาแล้ว เจอกับปัญหาที่รุมเร้า แม้กระทั่งแรงกดดันที่เกิดขึ้น แต่ตนกับลุงพลก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้
ดังนั้นสิ่งที่ตนจะฝากบอกน้องสาวในตอนนี้คือ อยากให้ออกมาพูดความจริง ออกมาอธิบาย ออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะการออกมาพูด อาจจะทำให้หลายฝ่ายเข้าใจมากยิ่งขึ้น รวมถึงก็จะต้องสู้ และผ่านกับจุดนั้นไปให้ได้ และคนเรารู้อยู่แก่ใจต่อการกระทำที่เกิดขึ้นทั้งหมด ว่าใครทำอะไรไว้บ้าง ดังนั้นก็อยากจะฝากให้น้องสู้ เพราะยังถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
ขณะเดียวกัน กรณีเรื่องการแอบไปขึ้นเขาเหล็กไฟเพื่อค้นหาลูกสาวเพียงลำพังนั้น ตนทราบจากแม่ คือ นางสมควร และน้าต่าย ในวันที่ 12 พ.ค.63 ตนเดินทางไปที่บ้านช่วงเช้า เพื่อจะชักชวนให้ไปหาร่างทรงพร้อมกัน เพื่อให้มีการทำนายเกี่ยวกับการหายตัวไปของน้องชมพู่ แต่ทางด้านยายสมควร บอกว่า “นุชยังไม่กลับมา ไปหาลูกบนเขา” ดังนั้นทุกอย่างก็คือเรื่องจริง อยู่ที่ว่าน้องสาวจะรับความเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด แล้วหลังจากที่ถูกตั้งข้อสังเกต หรือเจอแรงกดดัน ก็จะต้องพิสูจน์ตัวเอง โดยการออกมาชี้แจงด้วยตัวเองเท่านั้น
จากนั้น ทีมข่าวเดินทางไปเจอกับนางแดง (นามสมมติ) แม่ของเด็กแก๊งจำปา ซึ่งก่อนหน้าเคยให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว ยืนยันว่า พ่อแม่น้องชมพู่เคยขึ้นไปหาลูกเพียงลำพังที่เขาเหล็กไฟวันที่ 12 พ.ค.63 ตอนประมาณ 01.00 น.
วันนี้ ทีมข่าวได้ย้อนกลับไปเจอนางแดง อีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวยังคงยืนยันกับทีมข่าวว่า ตนทราบข้อมูลมาจากยายสมควร พูดเมื่อวันที่ 12 พ.ค.63 ช่วงสาย ว่า “พ่อแม่ชมพู่ ยังไม่กลับลงมา หลังออกไปตามหาน้องชมพู่เพียงลำพัง” ซึ่งเรื่องนี้คือเรื่องจริงตามที่ผู้ใหญ่ออกมาเปิดเผย และหลังกลับลงมาจากเขาภูเหล็กไฟ ตนก็ไม่รู้ว่า พ่อแม่ร้องไห้จริงหรือไม่ ตามที่ย่าอชิพูด เพราะตอนที่ 2 คนกลับลงมา ตนไม่ได้อยู่ที่บ้านน้องชมพู่
ทั้งนี้ตนยืนยันว่า สิ่งที่นายอนามัย พ่อชมพู่ ร้องไห้เสียใจ หลังเจอศพลูกนั้น เป็นเรื่องจริง เพราะพ่อชมพู่พูดขึ้นมาว่า “อีกนิดเดียวก็จะไปถึง ถ้าไฟส่องกบไม่หมดเสียก่อน คงเจอลูก” ส่วนเรื่องคลิปทั้งหมด ตนขอไม่แสดงความเห็น เพราะเนื่องจากไม่ทราบเจตนาของ 2 ฝ่าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อสรุปความคิดเห็นของชาวกกอก เรื่อง คลิปเสียงปริศนา ลุงพลกับป้าแต๋น บอกว่า "จริงเป็นบางเรื่อง" ส่วนนายม็อค บอกว่า "เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง" แต่ยาอชิ บอกว่า "เป็นเรื่องจริงทั้งหมด" และนางแดง บอกว่า "เป็นเรื่องจริง"
Advertisement