เมื่อวันที่ 30 ก.ย.63 ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่ชั้น 2 อาคารสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน มีการนัดประชุมหารือเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ โดยมีดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมตัวแทนผู้บริหารของโรงเรียนเครือสารสาสน์ฯ เดินทางเข้ามาร่วมประชุมตั้งแต่เวลา 08.00 น.
คลิกอ่านข่าว "ครูจุ๋ม" ทั้งหมดที่นี่
กระทั่งเวลา 11.00 น. ดร.กนกวรรณ แถลงข่าวที่ห้องประชุมวิเวก ปางพุฒิพงศ์ ชั้น 2 อาคารสำนักงานคณะกรรมส่งเสริมการศึกษาเอกชน ภายหลังจากการประชุมแล้วเสร็จ โดย ดร.กนกวรรณฯ มีการทำลงบันทึกข้อตกลงระหว่างโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์กับกระทรวงศึกษาธิการ ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ลงวันที่ 30 ก.ย.63 โดยมีข้อมูล แบ่งเป็น 2 กรณีดังนี้
1.ในกรณีผู้ปกครองต้องการให้บุตรหลานเรียนต่อ
-สำหรับห้องเรียนที่เกิดเหตุ ทางโรงเรียน พร้อมคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ของภาคเรียนปี 2563
-โรงเรียนดำเนินการติดกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม และมีจอมอนิเตอร์ใหญ่ที่โรงอาหาร สำหรับให้ผู้ปกครองสามารถนั่งดูได้ ส่วนห้องเรียนที่มีการตกลงกับผู้ปกครอง จึงจะมีการติดกล้องวงจรปิดออนไลน์
-โรงเรียนจัดทำใบประกอบวิชาชีพครู ติดหน้าห้องเรียนและบนเว็บไซต์โรงเรียน
-โรงเรียนพร้อมรับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์รักษาร่างกาย จิตใจ ตามจริงแก่นักเรียนที่เกิดเหตุ
-โรงเรียนจัดหานักจิตวิทยาเข้ามาฟื้นฟูสภาพจิตใจนักเรียนและครู
-ผู้ปกครองสามารถเข้ามาตรวจสุขอนามัยของห้องเรียน ห้องน้ำ และห้องนอนได้
-ด้านอาหารกลางวัน โรงเรียนจัดตามโภชนาการและแจ้งรายการอาหารแต่ละวันให้ผู้ปกครองทราบ และเปลี่ยนเวลาพักกลางวันจาก 30 นาที เป็น 40 นาที
-โรงเรียนมีการคัดกรองด้านสุขภาพจิตของครูไทยและครูต่างชาติ
-โรงเรียนจัดรถของโรงเรียน ให้เพียงพอ มีการติดกล้องวงจรปิดภายในรถ เพื่อความปลอดภัย และรายงานจำนวนนักเรียนที่ ขาด ลา มาสายทุกวัน
-โรงเรียนจัดให้มีการประชุมผู้ปกครอง ทุกปีการศึกษา โดยเริ่มต้นในเดือน ต.ค.63
2. กรณีผู้ปกครองประสงค์จะย้ายบุตรหลานไปเรียนที่อื่น
-โรงเรียนอำนวยความสะดวกในการจัดทำเอกสารย้ายตัวและส่งมอบตัวนักเรียนให้แล้วเสร็จภายใน 1 วัน
-โรงเรียนจะคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ในปีการศึกษา 2563
-โรงเรียนจะรับผิดชอบค่ารักษาทางการแพทย์สำหรับร่างกายและสุขภาพจิตใจ ตามจำนวนจริง
-กรณีค่าทำขวัญ ทางโรงเรียนจะเร่งพิจารณาอย่างรวดเร็ว แล้วจะแจ้งกลับมาให้ทราบโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ ดร.กนกวรรณ กล่าวยืนยันว่า คณะกรรมการทำงานเร่งรัดและมีกระบวนการติดตามให้เร็วที่สุด โดยมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณะสุข สช. นิติกร ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนศึกษาธิการจังหวัด เร่งติดตามให้เร็วที่สุด เพื่อให้ผู้ปกครองเกิดความสบายใจ เบื้องต้นในส่วนของใบประกอบวิชาขีพครูนั้น มีเจ้าหน้าที่จากคุรุสภา เข้าไปตรวจสอบภายในโรงเรียนแล้ว หากพบว่ามีความผิดจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหา เอาผิดตามกฎหมายต่อไป
ทีมข่าวเดินทางมาพูดคุยกับ น.ส.ภัทราวดี เหม่นครบุรี อายุ 28 ปี แม่น้องนับตังค์ อายุ 3 ขวบ 6 เดือน เปิดเผยว่า พาลูกชายมาเรียนที่ รร.สารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ได้ 3 เดือนก่อนเกิดเหตุ น้องนับตังค์เป็นลูกชายเพียงคนเดียว ก่อนเลือกเข้าเรียน ตนพยายามคัดสรรหาโรงเรียนหลายแห่ง กระทั่งเข้ามาดูที่ รร.สารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ซึ่งดูโอเค น่าจะมีที่เรียนดี สถานที่วิ่งเล่น ครูดี สภาพแวดล้อมดี จึงมองว่าเป็นสถานศึกษาที่ดีแห่งหนึ่ง
กระทั่งเมื่อวันที่ 28 ก.ย.63 ที่ผ่านมา เห็นภาพวงจรปิดภายในห้องเรียน บันทึกเหตุการณ์วันที่ 22 ก.ย.63 ช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. ครูแพร (ครูประจำชั้น) ก่อเหตุกระชากคอเสื้อน้องนับตังค์อย่างแรงจากด้านหลังสุดโต๊ะเรียน ลากมาที่เก้าอี้นั่งด้านหน้าห้องเรียน กระทั่งน้องล้มลงที่พื้น ก่อนจะพยายามลุกขึ้น ซึ่งทันทีที่เห็นคลิป รู้สึกเครียด เสียใจมาก ร้องไห้ ทนดูต่อไม่ไหว และไม่อยากดูวันอื่น ๆ เพราะแค่เห็นวันเดียวก็ทำใจไม่ได้ เพราะตั้งใจส่งลูกไปเรียนแต่เหมือนส่งลูกไปโดนทำร้าย เสียความรู้สึกเป็นโรงเรียนที่เลือกด้วย กลับถูกทำร้ายแบบนี้
โดยที่ผ่านมา เมื่อถูกทำโทษรุนแรง น้องนับตังค์ไม่เคยฟ้อง ไม่เคยบอกว่าถูกครูตี แต่เคยมีบาดแผลรอยขูดที่ไหล่ และเขียวช้ำบ้าง กระทั่งเห็นคลิปหลักฐานกล้องวงจรปิดจึงทราบความจริง หลังเกิดเหตุน้องนับตังค์ไม่มีอาการซึม ยังคงร่าเริงตามปกติ แต่ช่วงเช้าตื่นมามักจะพูดว่า "ไม่อยากมาโรงเรียน" ตอนแรกไม่แปลกใจคิดว่าเด็กร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียนตามปกติ ถ้าว่าครูตี เพราะไม่ฟัง หรือน้องซน ตนคิดว่าเกินกว่าเหตุ เนื่องจากเด็กจะซนตามวัยเท่านั้น
ภายหลังเกิดเหตุ น้องนับตังค์มีอาการเปลี่ยนไป คือ กลัวคนที่ไม่คุ้นชิน กลัวครูแพร และไม่เคยบอกว่ากลัวเพราะสาเหตุอะไร ทั้งนี้ตนยืนยันจะให้ลูก "ลาออก" ย้ายไปเรียนที่อื่น แม้ว่าจะมีการจัดสรรครูใหม่มาแทน แต่ตนไม่ไว้ใจแล้ว หวั่นลูกเจอเหตุการณ์แบบเดิม ส่วนเรื่องคดีความจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เมื่อวานนี้เดินทางมาแจ้งความไว้ที่ สภ.ชัยพฤกษ์ แล้ว และวันนี้ ตนเดินทางมาที่ สภ.ชัยพฤกษ์ เพื่อให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ตนพร้อมรับข้อเสนอจากที่โรงเรียน มีการทำบันทึกตกลงกับกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะจ่ายเงินค่าธรรมเนียมการเรียนตลอดจนค่าธรรมเนียมอื่น ๆ อีกทั้งจะเรียกค่าทำขวัญจำนวน 100,000 บาท ซึ่งครอบครัวมองว่าเป็นเงินที่ไม่มากเกินไป "ความรู้สึกสภาพจิตใจของน้องนับตังค์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถประเมินค่าหรือชดเชยได้" เรื่องร้าย เหตุการณ์ การทำโทษเป็นเรื่องที่จะติดใจลูกไปอีกนาน
ในวันเดียวกัน เวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่สภ.ชัยพฤกษ์ ต.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ยังคงมีผู้ปกครองหลายเดินทางเข้าแจ้งความ นายทรงพล แสงรัตนายนต์ อายุ 34 ปี และน.ส.อรอุมา ตะพัง อายุ 37 ปี ผู้ปกครองของน้องเชียร์ เรียนอยู่ชั้นอนุบาล 1 ห้องครูจุ๋ม กล่าวว่า ลูกตนเรียนอยู่ห้อง KG1E วันนี้จะมาขอดูคลิปวิดีโอเพิ่มเติมจากที่ตำรวจนำคลิปมา จะขอดูว่าลูกของตนโดนกระทำอะไรบ้าง
ในคลิปเห็นน้องโดนผลักหัว และจะเอาสมุดฟาดหน้า ตอนนี้ตนยังไม่ได้แจ้งความ รอแจ้งความพร้อมกับผู้ปกครองรอบ 2 และรอเจ้าหน้าที่ตำรวจเช็กดูคลิปว่า น้องคนไหนโดนกระทำบ้าง แล้วจะติดต่อผู้ปกครองแต่ละคนให้มาแจ้งความ ตอนนี้ลูกตนเรียนอยู่ที่นี่ 2 คน ต่อไปตนคงไม่ให้ลูกเรียนต่อที่นี่แล้ว
ขณะที่ นายอรุณศักดิ์ ขันธ์ทอง อายุ 49 ปี พ่อของน้องอาชิ เรียนอยู่ชั้นอนุบาล 1 เปิดเผยว่า ตำรวจเรียกตนมาพบ เนื่องจากภาพลูกชายของตนเรียนอยู่ห้องครูจุ๋ม โดนตบหลัง กระชากหัว ผลักหัว มีอีกหลายคลิปแต่ยังไม่ได้เปิดเผย ที่ตนพอทราบคือครูจุ๋มผลักหัวลูกตน 6-7 ครั้งจนล้มลง แม่ของครูจุ๋มออกมาร้องขอความเป็นธรรมให้ลูกสาว แล้วลูกของตนต้องได้รับความเป็นธรรมหรือไม่
หลังจากได้ฟังคำสัมภาษณ์ของผู้บริหารโรงเรียน ตนรู้สึกแย่ คิดได้อย่างไรว่าตนจะไปเอาเงิน เพราะตนก็เสียเวลาเดินทาง ต้องหยุดงานพาลูกไปตรวจร่างกาย ถ้าผู้บริหารโรงเรียนออกมารับฟังปัญหาตั้งแต่แรก แสดงตัวตั้งแต่แรกเรื่องคงไม่เป็นเช่นนี้ ไม่มีใครตัดสินใจได้เลย ไม่มีความเป็นธรรมกับผู้ปกครอง ตอนนี้ยิ่งเปิดดูคลิปยิ่งเห็นเกือบทุกห้องโดนหมด ติดกล้องวงจรปิดก็ต้องสามารถตรวจสอบได้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ที่ห้องประชุมวิเวก ปางพุฒิพงศ์ ชั้น 2 อาคารสำนักงานคณะกรรมส่งเสริมการศึกษาเอกชน ภายหลังจากการประชุมแล้วเสร็จ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีการทำลงบันทึกข้อตกลงระหว่าง รร.สารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ กับกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ลงวันที่ 30 ก.ย.63 ซึ่งทำบันทึกข้อตกลง ภายในห้องนายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
จากนั้นนายพิสุทธิ์ ยงค์กมล ผู้แทนผู้รับใบอนุญาต ซึ่งเป็นลูกชายนายพิบูลย์ ยงค์กมล ประธานอำนวยการโรงเรียนในเครือสารสาสน์ และเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารเครือโรงเรียนสารสาสน์ ระบุว่า ครูและผู้บริหารโรงเรียนตกใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับพฤติกรรมครู ซึ่งทางโรงเรียนสารสาสน์ ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน อีกทั้งทางโรงเรียนมีครูผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เมื่อตกใจจึงมีการตัดสินใจและดำเนินการที่ล่าช้า อย่างไรก็ตาม จากนี้จะให้ความยุติธรรม และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย จะเร่งดำเนินการติดตามทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด
นายพิสุทธิ์ ระบุต่อว่า ในส่วนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้สึก "เจ็บหัวใจ" และคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้ "เกิดขึ้นในโรงเรียนได้อย่างไร" อย่างไรก็ตามทางโรงเรียนไม่ขอแก้ตัว แต่จะแก้ไขในทุกเรื่องที่ผู้ปกครองร้องเรียน โรงเรียนจะใส่ใจ ไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ มองเรื่องที่เกิดขึ้น เหมือนเป็นผู้ปกครองคนหนึ่ง และจะดำเนินการตามข้อตกลง ที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการแล้ว
สำหรับนางวารุณี เผือกเทศ รักษาการ ผอ.รร.สารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ ซึ่งแต่งตั้งเป็น ผอ.รร.สารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์แล้ว เป็นคณะผู้บริหารชุดใหม่ โดยตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.63 เป็นต้นไป ที่ห้องธุรการโรงเรียนจะมีศูนย์ร้องเรียนโดยตรง ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที
กรณีเรื่องการประเมินพี่เลี้ยง หรือครูประจำชั้น จะต้องมีการประสิทธิภาพและประเมินสุขภาพจิตใจของครู ซึ่งจะดำเนินการร่วมกับ สช. กรมสุขภาจิต กระทรวงสาธารสุข คาดการณ์ว่า จะมีการเข้าไปประเมินสุขภาพจิตครูสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ทั้งนี้ตนขอฝาก "คำขอโทษ" ไปถึงผู้ปกครอง และขออภัยผู้ปกครอง พี่น้องประชาชน และพ่อแม่ทุกคนที่ทำให้ผิดหวัง ตนรับปากยืนยันว่า "ทุกอย่างจะดีขึ้น"
Advertisement