วันที่ 21 พ.ย.67 หลังจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส พร้อมด้วย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เดินทางมายื่นหนังสือถึงนาย วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบมรรยาททนายความของนาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม และนาย เดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ยังได้เปิดเผยกับสื่อถึงความคืบหน้าคดีระหว่างเจ๊อ้อยและทนายตั้ม โดยนายปานเทพ ระบุว่า วันนี้มีความคืบหน้าที่จะเรียนให้ทราบถึงคดีความ สัญญาระหว่างพี่อ้อยกับบริษัทอินโนไฟฟ์ ในการจัดทำแอปพลิเคชั่นสลากออนไลน์ ชื่อ นาคี
โดยครั้งแรกที่พี่อ้อยมาเจอเรา เราก็ได้เอกสารชิ้นนี้แล้วแต่ยังไม่เปิด เพื่อจะรอดูว่าฝั่ง ทนายตั้มจะใช้หลักฐานแชต LINE เป็นประเด็นสำคัญหรือไม่ และกล้าโชว์หลักฐานสัญญาต่อหน้าสาธารณะชนและสื่อมวลชนหรือไม่ เมื่อไม่พบว่ามีการเปิดเผย เราก็เลยเอามาเปิดเผยเป็นครั้งแรกในรายการโหนกระแส แต่ในครั้งนั้น แม้เราจะรู้ข้อพิรุธ แต่เราก็ยังไม่ได้บอกสื่อมวลชนเพิ่มเติม จนกระทั่ง ทนายสายหยุด ออกรายการทีวีหลายครั้ง เราจึงเห็นว่าน่าจะมีพิรุธที่จะจัดทำเอกสาร มากกว่าสัญญาต้นฉบับ ก็เลยอยากให้พี่น้องสื่อมวลชนได้ทราบว่า เอกสารฉบับนี้ถูกจัดทำขึ้นในตอนแรก โดยบริษัทอินโนไฟฟ์ ส่งไฟล์ผ่าน LINE และอีเมลชัดเจน และ ทนายตั้ม ขอปรับวงเงินและขอไฟล์ต้นฉบับมาเอง แต่ในเอกสารฉบับนี้จะเห็นได้ว่ามีพิรุธ มีการปรับไฟล์ในหน้าสุดท้ายของสัญญา ก่อนที่จะลงนาม เป็นพื้นที่ว่างจำนวนมาก แทนที่จะมีลายเซ็นของคู่สัญญาและผู้ว่าจ้า ในแผ่นเดียวกัน ก็กลับเลื่อนไม่ให้อยู่ในแผ่นเดียวกัน
ประการที่ 2 ทนายษิทรา ไม่ได้ให้ลูกค้าทั้งสองคน ทั้งผู้ว่าจ้าง และผู้รับจ้าง มาพบกันสักครั้งเดียว ทำตัวเองเป็นคนกลาง หลังจากนั้นก็ให้บริษัทอินโนไฟฟ์ลงชื่อก่อน แล้วมาเก็บไว้กับตัวเอง หลังจากนั้นก็ให้พี่อ้อยลงชื่ออีกแล้วก็เก็บสัญญาทั้งสองฉบับไว้กับตัวเอง และการลงนามทั้งสองฉบับนั้น วิธีการลงนาม จะแยกระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้างอยู่คนละแผ่น
การแยกแผ่นเช่นนี้ จะทำให้สามารถแก้ไขปรับปรุงต่อเติมฉบับข้างหน้าได้ทั้งหมด แล้วก็ไม่มีการเซ็นเอกสารทุกแผ่น ซึ่งผิดวิสัยของนักกฎหมายที่จะแนะนำลูกความของตัวเองรวมถึง ไม่มีการติดอากรแสตมป์ และไม่ส่งให้คู่ความได้รับทราบ
เราไม่ได้เปิดเอกสารนี้มาก่อน เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีขบวนการตัดแต่งเอกสารชิ้นใหม่ขึ้นมาหรือไม่ และวันนี้ในเมื่อทนายตั้มอยู่ในกระบวนการชั้นสืบสวนสอบสวน ไม่ได้รับการประกันตัว "ตนขอตั้งคำถามเลยว่า ทนายตั้ม ทนายสายหยุด ได้ส่งเอกสารสัญญาฉบับอื่นที่มีการตัดต่อไปให้ตำรวจหรือไม่"
และสงสัยสัญญาในข้อ 1 ที่ระบุว่า "ผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายค่าสินจ้างเหมาตามสัญญานี้ให้แก่ผู้รับจ้างเป็นจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร ก่อนเริ่มงาน" ตนกำลังตั้งข้อสงสัยว่า มีการยื่นเอกสารโดยมีการตัดข้อความนี้ออกหรือไม่ ถ้ามีการเสนอเข้าสู่ในชั้นพนักงานสืบสวนสอบสวน ตนก็ขอเรียกร้องให้ตำรวจดำเนินคดีความเพิ่มเติมว่ามีการตัดแต่งเอกสารปลอมหรือไม่ แล้วถ้ามีการตัดแต่งสัญญาจริง ใครเป็นคนทำ ทนายตั้ม ทำคนเดียว หรือ ทนายสายหยุด ร่วมด้วย ถ้าเป็นใครคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ
เรื่องที่ 2 ก็คือเรื่องพินัยกรรม อยากจะให้ทางเจ้าหน้าที่รัฐหรือตำรวจ ไปสืบสวนสอบสวนที่ว่าทำลายเอกสารหมดแล้วในพินัยกรรมฉบับ 1.5 ที่มีชื่อทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ได้มีเอกสารฉบับดังกล่าวหลงเหลืออยู่หรือไม่ เพราะถ้าทำเอกสารแนบท้ายเช่นนี้ ก็แปลว่าสามารถปรับแก้ข้างหน้าได้หมด เป็นรูปแบบคล้ายคลึงกัน และที่เราเป็นห่วง เพราะว่าพี่อ้อยดำเนินการทำพินัยกรรมฉบับใหม่แล้วก็จริง แต่ถ้าฉบับเก่ามีใบปะหน้าแนบสัญญาแยกออกจากลายเซ็น เขาผลิตใหม่ในอนาคตได้ ดังนั้นจึงจะต้องหาหลักฐานให้มากขึ้นว่ามีกระบวนการเก็บ ซุก หรือซ่อนหรือไม่
นายปานเทพ ยังระบุอีกว่าก่อนทนายตั้มจะถูกจับ ก็ปรากฏว่าไปแวะเวียนที่หน้าบ้านหรืออาจจะเข้าไปในบ้านของแจ็ค คนใกล้ชิด โดยที่แจ็ค อาจจะไม่ได้อยู่ในบ้าน เราก็อยากตั้งข้อสังเกตว่า ตำรวจควรจะตรวจสอบทรัพย์สินของคนใกล้ชิดด้วย โดยเฉพาะคนที่สามารถเข้านอกออกในโดยที่คุณแจ็ค ไม่ต้องอยู่ในประเทศไทยก็ได้ ว่าเกี่ยวพันมากน้อยแค่ไหน
ซึ่งนอกจากพี่สาวเมียทนายตั้มที่ชื่อดาว เป็นคนที่ขนเงิน 20 ล้านบาท จากก้อน 39 ล้านบาทไปบ้านเก่าของทนายตั้ม ร่วมกับคนขับรถที่ชื่อเล็กที่เป็นอดีตทหาร ถ้าถามว่าคนชื่อเล็กเป็นใคร นอกจากเป็นอดีตทหาร ก็เป็นลูกความของทนายตั้ม ที่ทนายทนายตั้มช่วยเหลือ ซึ่ง ดาว เป็นบุคคลใกล้ชิด น่าจะมีบัญชีหมุนเวียน ในบัญชีตัวเอง ประมาณวงเงิน 50 ล้านบาท ซึ่งเท็จจริงอย่างไร ตำรวจก็ต้องพิจารณา หากมีการรับเงิน 20 ล้านบาท แล้วเงินไปที่ใด และจริงหรือไม่ที่มีคนบงการให้ คุณดาว ถอนเงินสดทีละ 1 ล้าน 9 แสนบาททุกวัน เพื่อไม่ต้องรายงานเจ้าหน้าที่ จนหมดบัญชี คุณดาว ควรให้การทั้งหมดว่าเงินอยู่ที่ใดและเงินไปไหน ไม่เช่นนั้นจากพยานก็จะกลายเป็นจำเลยร่วม
และอีกคนที่ไม่เคยปรากฏ ในการสืบสวนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงสื่อมวลชน ก็คือพี่สาวของทนายตั้ม ที่ชื่ออ้อ มีความเกี่ยวพันกับทรัพย์สินของทนายตั้มหรือไม่ เพราะว่าลูกสาวของคนที่ชื่ออ้อ คือ เดียร์ เคยถูกชักชวนจากทนายตั้ม ว่าอยากให้ลูกชายของพี่อ้อย มาดองกับลูกสาวของพี่สาวทนายตั้ม ถึงขนาดที่ทนายตั้มจัดซื้อดอกไม้ราคา 9,000 บาท เพื่อให้ลูกชายพี่อ้อย ไปมอบให้กับเดียร์ แต่แทนที่จะเป็นเงินจากทนายตั้มจ่าย กลับไปเบิกเงินจากพี่อ้อย ซึ่งตำรวจไม่ควรมองข้ามในประเด็นนี้
Advertisement