นายอาคม คงสวัสดิ์ หรือทนายอาคม ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังเข้าไปเยี่ยมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในเรือนจำ โดยระบุว่า ทนายตั้ม ยืนยันว่า คุณเดือน หรือ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ไม่ทราบที่มาของเงินว่าเป็นเงินมาจากการฉ้อโกง แต่เรื่องสำคัญที่ฟังแล้วยังรู้สึกหนักใจแทนก็คือ ทนายตั้มยังประสงค์จะสู้คดีอยู่ แปลความได้ว่า ทนายตั้ม อาจจะยังไม่รู้สำนึกหรืออาจจะยังคิดว่าสู้แล้วยังพอมีทาง แต่เราก็ให้คำแนะนำไปว่าถ้าสู้หัวชนฝา มันไม่มีเหตุให้ลดโทษ ไม่มีเหตุให้บรรเทาโทษ ยิ่งในฐานะผู้มีความรู้ด้านกฎหมายถ้ากระทำความผิดเสียเองโทษหนักแน่นอน เขาก็ต้องพร้อมรับบทลงโทษที่ควรจะได้รับ
นักข่าวถามว่าเราได้บอกทนายตั้มหมือไม่ว่าถ้าเกิดสู้คดีต่อจะเกิดผลผลกระทบต่อคนรอบข้าง ทนายอาคมบอกว่า ไม่ได้บอก ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ แต่แค่อธิบายว่าผลจากการกระทำของเขา กระทบต่อคนรอบข้างทุกคน ใครที่สนิทสนมใกล้ชิดเดือดร้อนหมดทุกคน
ทนายอาคม ระบุว่า นางปทิตตา ภรรยาทนายตั้ม เข้าไปเกี่ยวข้องในขั้นตอนการรับโอนกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดิน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 ซึ่งช่วงเวลาใกล้กันกับที่ทนายตั้ม รับโอนเงินมา 71 ล้านบาทจากเจ๊อ้อย ห่างกันแค่ประมาณหนึ่งเดือน ซึ่งต้องดูว่าสามารถจะบ่งชี้เจตนาที่จะทำแพลตฟอร์มสลากกินแบ่งรัฐบาลว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เป็นคำถามที่สังคมยังสงสัย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็บอกว่า ต้นทุนในการทำแพลตฟอร์มมันอาจจะใช้เงินไม่ถึง 71 ล้านบาท ที่เหลืออาจจะเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะเป็นข้อแก้ตัวของเขา ก็แก้ไป โดยในทางทะเบียน ภรรยาทนายตั้ม ถือหุ้นในบริษัทษิทรารอเฟิร์ม น่าจะประมาณ 45% ในส่วนของเครื่องแพลตฟอร์มออนไลน์สลากกินแบ่งรัฐบาล ภรรยาทนายตั้ม ไม่ได้เกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่าวันนี้ที่ไปคุยกับ ทนายตั้ม หลังจากที่ไม่ได้คุยกันนาน มีท่าที่อย่างไรบ้าง
ทนายอาคม บอกว่า เขาก็เหมือนอยากได้คำแนะนำในแง่ของการต่อสู้คดี มากกว่าคำแนะนำที่จะให้เป็นเรื่องเหตุบรรเทาโทษ ซึ่งที่ทนายตั้มสู้หัวชนฝา มองว่ามันเป็นข้อเสียสำหรับเขาแน่นอน ในกระบวนการยุติธรรมมันมีแค่ซ้ายกับขวา ไม่แพ้ก็ชนะ
คำแนะนำของตน ตนพูดกับเขาเรื่องของคลิปพี่อ้อย ที่พี่ออยคุยกับคุณสนธิที่บ้านพระอาทิตย์ แล้วตนคิดว่ามันไม่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีของทนายษิทรา น่าจะเป็นโทษกับทนายษิทรามากกว่า เพราะว่าหลักของฉ้อโกงโดยทุจริตหลอกลวง อาจจะไม่มีพฤติกรรมของทนายษิทราเข้าไปเกี่ยวข้อง ในส่วนของเงิน 39 ล้านบาท แต่ท่อนที่ไปเกี่ยว คือการการหลอกลวงมันได้ไปซึ่งทรัพย์สินเพื่อตนเองหรือบุคคลที่สาม ซึ่งคำว่าบุคคลที่สาม มันจะไปแตะทนายษิทรา ตรงนี้
ถามว่าคดีของภรรยาทนายตั้ม อย่างที่บอกมีส่วนเกี่ยวข้องในขั้นตอนการรับโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดิน ถ้ามองในแง่ของนักกฎหมาย การกระทำมันมีองค์ประกอบอยู่ 2 ส่วน ที่เรียกว่าองค์ประกอบภายนอก ก็คือการลงลายมือชื่อรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมันเกิดขึ้นจริง ไม่ต้องเถียงหรอกว่าทำหรือไม่ทำ แต่องค์ประกอบภายในว่ามีเจตนาที่ทำความผิดไหม ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์
ส่วนเรื่องพินัยกรรมของพี่อ้อย ทนายตั้ม ยอมรับว่ามีชื่อตัวเองเป็นผู้จัดการมรดกจริง แต่เขาจำไม่ได้ว่ามันเป็นฉบับที่หนึ่งหรือฉบับที่สอง เนื่องจากว่ามีการแก้ไขหลายครั้ง แต่รับว่ามีชื่อเข้าไปเป็นผู้จัดการมรดกจริง เขาอ้างว่าเขาฉีกทำลายไปแล้ว
ส่วนเรื่อง GPS ทนายตั้มบอกว่าติดมากับรถ ยืนยันว่าไม่ได้มีการล็อกอินเข้าไป ส่วนที่บอกว่ามีการพาเดินทางไปจุดอับสัญญาณ ทนายตั้มบอกว่ายังไม่มีการเดินทางไปเล่น อย่างเช่นที่เขื่อนรัชชประภา ก็ยังไม่ได้มีการเดินทางไป พร้อมยืนยันว่าในโทรศัพท์มือถือของทนายษิทรา ไม่มีแอพพลิเคชั่น GPS ที่เชื่อมโยงไปที่รถเบนซ์ของพี่อ้อย แต่ตนถามลึกลงไปกว่านั้นอีกว่า ทำไมในชื่อสัญญา GPS ที่ติดกับรถเบนซ์เป็นชื่อของทนายษิทรา เรื่องนี้เขาตอบว่าเขาไม่ทราบ อาจจะเป็นเรื่องที่เต็นท์รถดำเนินการให้ ทนายตั้ม ยืนยันว่าเขาไม่ได้คิด ไปทำอะไรที่มันเป็นผลร้าย หรือเป็นแผนประทุษร้าย
ทนายอาคม ยังระบุอีกว่า ยังยืนยันหัวเด็ดตีนขาดยังไงตนก็ไม่ทำคดีให้ทนายตั้ม 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนของคดีภรรยาทนายตั้มนั้น ได้แต่งตั้ง ทนายอาคม ให้เป็นทนายความแล้วในชั้นสอบสวน ซึ่งเราก็แค่ดูช่องทางว่ามันมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าภรรยาทนายตั้มไม่ได้ร่วมกระทำความผิด ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้ต้องให้ความเป็นธรรมเขาหน่อย
เมื่อถามเรื่องการยื่นประกันตัว ทนายอาคม ระบุว่าตอนนี้ยังไม่มีกำหนดยื่นประกันตัวภรรยาทนายตั้ม ขอให้การสอบสวนคืบหน้าไปกว่านี้ก่อน เพราะคดีเรื่องเงิน 39 ล้านบาทก็ยังไม่นิ่งว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไงกันแน่
นักข่าวถามว่าแสดงว่าสิ่งที่ทนายตั้มทำไว้กับทนายอาคม ที่มันอยู่ในใจมันรุนแรงมากจนไม่คิดอยากจะกลับไปช่วยเหลือกันเลยหรือไม่ ทนายอาคมบอกว่า "แค่คุยกับมัน ก็เป็นเป็นบุญของมันแล้ว แค่คุยกับมันก็เป็นบุญของมันแล้วล่ะ"
Advertisement