วันที่ 27 พ.ย.67 จากคดีความทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด และภรรยา ซึ่งถูกคควบคุมตัวในคดีฉ้อโกงเงินจำนวน 71 ล้านบาท และสาวมาถึงยอดเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งนางจตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อย ผู้เสียหาย ได้เดินหน้าในคดีสุดซอย ซึ่งยังมีคนใกล้ชิดถูกออกหมายจับและควบคุมตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน รวมถึงเอกสารต่างๆพบพิรุธหลายประเด็น
โดยประเด็นดังกล่าวนาย ศุภภัทร์ พจน์นิติศศธร หรือ“ทนายพจน์” ได้ออกมาให้ความเห็นถึงเรื่องแนวทางการต่อสู้คดี เนื่องจากนายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือ ฉายาทนายปาเกียว ได้ขอถอนตัวจากการเป็นทนายความในการต่อสู้คดีให้กับทนายตั้ม
ทนายพจน์ กล่าวว่า ในฐานะที่เคยคุ้นเคยกันอยู่กับทนายตั้มระยะหนึ่ง ซึ่งอยู่ในช่วงของการทำคดีเกี่ยวกับหวย 30 ล้านบาท ซึ่งตอนนั้นทนายตั้ม ก็ได้โทรมาขอคำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อจบคดีไปก็ได้ห่างหายกันไป ก่อนที่ทนายตั้มจะโลดแล่นอยู่ในแวดวงโซเชียลหลายคดี
ทนายพจน์ กล่าวต่อว่าตอนนี้สังคมอาจจะมองว่าใครที่มาเป็นทนายจำเลยก็จะเดือดร้อนไปด้วย หรือเสียชื่อเสียงไปด้วย ในเรื่องนี้ก็อยากจะแจ้งให้ประชาชนได้ทราบว่า จำเลยทุกคนจะต้องมีทนาย ซึ่งหากไม่มีทนาย การพิพากษาเป็นไปโดยไม่ชอบ เพราะจำเลยไม่มีทนาย ศาลต้องยกฟ้องเป็นอันดับที่หนึ่ง
อันดับต่อมาคือหากไม่มีใครกล้ามาเป็นทนายให้กับทนายตั้ม เพราะกลัวกระแสสังคม ประเด็นนี้ตัวทนายตั้มเองก็สามารถเป็นทนายความว่าความให้ตัวเองได้ แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ต้องขังจะมาเป็นทนายให้กับตัวเองจะต้องสวมชุดสีน้ำตาล เขาเรียกว่า ชุดออกศาล ซึ่งการสวมชุดสีน้ำตาล ก็จะไม่สามารถสวมชุดครุยว่าความได้ เพราะการสวมชุดครุย ทนายจะต้องมีรูปแบบเ ช่นจะต้องสวมเสื้อเชิ้ตผูกไทด์เป็นรูปแบบ แต่การสวมชุดผู้ต้องขังสีน้ำตาลแล้วมาสวมครุยว่าความมันผิดระเบียบ ไม่สามารถทำได้ นอกเสียจากว่าทนายตั้มจะได้รับการประกันตัวออกไป แต่ในตอนนี้ ทนายตั้มยังอยู่ในการควบคุม ฉะนั้นหากถูกเรียกตัวมาเพื่อสืบพยาน ก็จะต้องสวมชุดน้ำตา ลโดยที่ไม่มีชุดครุยแต่ก็สามารถว่าความให้ตัวเองได้ แต่งทนายให้ตัวเองได้ จะมีการซักถามค้านถามติงเบิกความทำเองได้หมด
ประเด็นที่สาม คือทนายตั้มต้องสู้สุดซอย อย่างที่ทนายอาคมเขาบอก เพราะว่าเขามาไกลแล้ว และมีหลายคดีและหลายกรรมม ารวมทั้งคดี 71 ล้านบาท คดี 39 ล้านบาท 9 ล้านบาท มันมีหลายกรรมและมีการให้การปฎิเสธมาโดยตลอด ถ้าสุดท้ายเขามารับจะกลายเป็นว่ารับเพราะจำนนด้วยหลักฐาน ศาลอาจจะไม่บรรเทาโทษให้ ฉะนั้นตนมองว่ารับติดก็ติดอยู่ดี แต่เขาสู้ก็ต้องสู้หัวชนฝา ก็มีสองทางคือยกฟ้องทั้งหมด เขารอดสามศาล ลงโทษเขาติดคุกในเมื่อรับก็ติด สู้ก็มีโอกาส เป็นประเด็นที่ทนายตั้มต้องสู้
"ผมว่าทนายตั้มเหนื่อยมาก เพราะมีหลายกรรมหลายคดี แต่มันเชื่อมโยงกันทั้งหมดแล้ว เรื่องปลอมแปลงเอกสารและยังมีการแต่งเอกสารเรื่องยกมรดกขึ้นอีก ตอนนี้ดูมันยุ่งไปหมดแล้ว ตัวเขาเองก็น่าจะงงไปหมดแล้วว่าอะไรๆมันก็ดูพันกันไปหมดแล้วตอนนี้ และทนายทุกคนมองเหมือนกันคือ ถ้าเราอยู่ในสถานะของทนายตั้ม ณ ตอนนี้ ให้การรับสารภาพน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า แต่ตอนนี้มันมีหลายเรื่อง เรื่องไหนที่ตัวเองผิดก็รับสารภาพไป เรื่องไหนที่คิดว่าตัวเองไม่ผิดหรือมีพยานหลักฐานที่มายืนยันได้ก็สู้กันไป ไม่ว่ากันแต่เรื่องไหนผิดจริง ก็ต้องยอมรับไปไม่ใช่หัวชนฝา มันก็จะชนฝาจริงๆ มันจะบาดเจ็บจริงๆ" ทนายพจน์ กล่าว
ส่วนคดีของ ภรรยาทนายตั้ม นั้น ตนมองว่าเป็นที่รู้กันว่าประชาชนก็เห็นเหมือนกันว่า ภรรยาจะไม่รู้ไม่เห็นเลยก็เป็นไปไม่ได้ว่า เงิน 71 ล้านบาท 39 ล้านบาท ยอดต่างๆนานาที่โอนเข้ามาจะมาจากไหน จะมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เห็นว่าเงินมาจากไหน แต่ก็เป็นที่น่าเห็นใจว่าจากการที่เป็นผู้หญิงที่อยู่ภายนอก และมีเงินทองใช้ แต่ต้องเข้ามาถูกอยู่ในสถานที่ควบคุมเช่นเรือนจำ ก็ต้องใช้ชีวิตยากลำบาก ในส่วนในมุมมองของตนและประชาชนส่วนใหญ่ ก็ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ว่า เงินที่โอนเข้ามาจะมาจากไหน มาจากใคร บ้าน 40 ล้านบาท ก็มาใส่ชื่อตัวเอง ก็ชัดเจนและเหนื่อยในแนวทางการต่อสู้คดีด้วยเช่นกัน.
Advertisement