จากกรณี นางสาวจิรันธนิน อายุ 30 ปี ขับรถเก๋งสีดำ ยี่ห้อ BMW ด้วยความเร็ว 207 กม./ชม.พุ่งชนท้ายรถจักรยานยนต์ มีผู้เสียชีวิต 3 ศพ เป็นนักเรียนชายชั้น ม.4 กับนักเรียนหญิงชั้น 2. โรงเรียนดังในเมืองชุมพร เสียชีวิตพร้อมกับแม่รวม 3 ศพ ขณะแม่ขับไปรับกลับจากเรียนพิเศษ ส่วนสาวที่เป็นคนขับรถ BMW ได้ขอให้ชาวบ้านละแวกเกิดเหตุช่วยหาแมวสายพันธุ์ต่างประเทศจนเจอ แล้วทิ้งรถเก๋งคันหรูอุ้มพาแมวหลบหนีหายไปกับความมืด เหตุเกิดเชิงสะพานถนนสาย จ. หมู่ 9 ต.ตากแดด อ.เมือง จ.ชุมพร เมื่อค่ำวันที่ 27 พ.ย.67 ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ ตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา และมีความเคลือบแคลงสงสัยหลายประเด็นของคดีดังกล่าวด้วย
ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับทางนายประกฤษณ์ รัตนภา อายุ 50 ปี สามีและพ่อของผู้เสียชีวิต เปิดใจว่า การช่วยเหลือเยียวยาได้บอกตัวเลขไปกับทางคู่กรณีแล้ว ได้เรียกค่าเสียหายไปจำนวน 25 ล้านบาท โดยราคานี้ไม่สามารถตีเป็นมูลค่าของครอบครัวของตนเองที่สูญเสียไปได้ โดยจะมีการพูดคุยเจรจากันในวันที่ 8 ธันวาคม ที่จะถึงนี้ ที่สภ.เมืองชุมพร
ส่วนเรื่องงานศพ ก่อนหน้าครอบครัวมีกำหนดฌาปนกิจภายในวันนี้ แต่ก็เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงรอหลังจากมีการพูดคุยกันในวันที่ 8 ธันวาคมให้เสร็จก่อน ให้ตน ภรรยา และลูกๆได้รับความเป็นธรรม จึงจะประกาศวันฌาปนกิจอีกครั้ง และยินดีหากทางคู่กรณีจะเดินทางมาร่วมพิธี
โดยตนเอง ก็ได้มีการคุยกับ นางสาวจิรันธนิน หรือ แพน (ผู้ก่อเหตุ) อ้างว่า มึนเมาสุรา ก่อนที่จะเกิดเหตุ ก็เห็นรถ ซึ่งตนก็ถามว่า เห็นรถได้อย่างไร ในเมื่อคุณไม่ได้แตะเบรค ในภาพกล้องวงจรปิดที่เห็น รวมถึงยังมีการโกหกเรื่องที่ว่า แม่ของผู้ก่อเหตุไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่กลับมีคนเห็น แม่ของผู้ก่อเหตุได้มาสอบถามถึงลูกสาวของตนเองว่าอยู่ที่ไหน
โดยการไกล่เกลี่ยครั้งล่าสุด ทางฝั่งของคู่กรณีกลับไม่ได้มีการพูดคุยอะไรเลย มีแต่ฝั่งครอบครัวของตนที่พูดเพียงฝ่ายเดียว รวมถึงการพูดคุยในห้องไกล่เกลี่ยเขาดูไม่จริงใจ เพราะคำพูดที่เขาพูดมามีแต่คำโกหก
โดยนายประกฤษณ์ บอกว่า ตอนนี้สภาพจิตใจค่อนข้างแย่ โดยยอมรับว่า ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน ที่เกิดเหตุมา ตนไม่เคยนอนเต็มที่ เพราะว่าทุกครั้งที่นอนหลับตาก็จะนึกถึงภาพภรรยาและลูก
ส่วนกรณีที่คู่กรณีได้มีการปิดหน้าในวันที่มาขอขมานั้น เรื่องนี้ตนเองไม่ได้ติดใจแล้ว เพราะว่าตอนที่คุยกันในห้องไกลเกลี่ย เขาก็ได้มีการเปิดใบหน้า ส่วนที่เขาไม่ยอมเปิดหน้าออกสื่อเพราะว่า กลัวสังคมจะประณาม จากที่ดูพฤติกรรม ต้องบอกว่า เขาไม่ได้สลดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเขาไม่มีความสำนึกกับการกระทำเลย หลังจากนี้ก็อยู่ที่จิตสำนึกของเขาว่า จะให้ความช่วยเหลือกับทางครอบครัวตนอย่างไรบ้าง เพราะพวกคุณแค่เสร็จคดีนี้ไป พวกคุณก็สบายแล้ว เพียงผ่านไปไม่กี่เดือนพวกคุณก็ลืม แต่กลับมีแค่ตนเองที่ต้องดูแลแม่ที่ป่วยติดเตียงยังอยู่คนเดียว และไม่มีลูกกับภรรยาด้วย เรื่องนี้ก็จะฝังใจตนไปตลอดชีวิต
Advertisement