เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 8 ธ.ค. 67 ที่วัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว พร้อมด้วยนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม และ ดร.ประยุทธ ประเทศเสนา รองประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ร่วมทอดผ้าป่าสามัคคีปลดล็อคแผ่นดินวัดสวนแก้ว พร้อมพุทธศาสนิกชน โดยในวันนี้ได้ร่วมส่งมอบยอดผ้าป่าปลดล็อคแผ่นดินวัดสวนแก้ว โดยมูลนิธิทนายกองทัพธรรม และพุทธศาสนิกชน จำนวนเงิน 4,746,422 บาท นอกจากนี้ยังมียอดผ้าป่าจากคนตื่นธรรมและคณะ จำนวนเงิน 2,430,888.79 บาท และพุทธศาสนิกชนทั่วไป จำนวนเงิน 2,856,370.21 บาท รวมยอดเงินทั้งสิ้น 10,033,681.95 บาท
ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนไม่เคยมาวัดสวนแก้ว และไม่เข้าใจว่าทำไมพระพยอม ถึงสู้เพื่อที่ดินแค่ 1 ไร่เศษ จึงสอบถามถึงที่มาที่ไป ซึ่งพระพยอมได้เล่าให้ฟังว่า เดิมทีทางวัดเป็นวัดร้างและมีที่ดินเพียงแค่ 3 ไร่ ทยอยซื้อเพิ่มเรื่อยมาจนปัจจุบัน ในอนาคตทางวัดสวนแก้วมีโครงการจะสร้างบ้านพักคนชรา อยู่ระหว่างก่อสร้าง และพระพยอม ได้บอกถึงสาเหตุว่าเงินที่มาซื้อที่ดิน คือเงินจากที่เคยขายเทปเทศน์ธรรมะ มีเงินเท่าไหร่ซื้อหมด หรือไม้เก่าที่ญาติโยมบริจาคก็นำมารีโนเวทและขาย ได้เงินมาก็นำมาซื้อที่ดินเพิ่ม และที่ดินแปลงนี้ที่พระพยอม หวงแหนเพราะเป็นเงินที่ได้รับมาจากครูบาอาจารย์ ได้แก่ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ หลวงพ่อแพร วัดพิกุลทอง หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน และสมเด็จชวด วัดปากน้ำ วัดไร่ขิง และอีกหลายท่านมากมาย รวมทั้งพุทธศาสนิกชน ตนถึงได้เข้าใจและรักพระพยอม สิ่งที่ไม่เข้าใจก็ได้เข้าใจ ว่าทำไมพระพยอมจึงต้องสู้จนหยดสุดท้าย
ทนายอนันต์ชัย กล่าวต่ออีกว่า เมื่อเจ้าของได้ที่ดินคืนก็มีการฟ้องขับไล่ จนสู้ไปสู้มาต้องมาเสียค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 1.9 ล้านบาท ตนเลยตัดสินใจว่าในเมื่อใช้พระเดชไม่ได้ ก็ต้องใช้พระคุณ เลยมีการพูดคุยที่สำนักงานบังคับคดี 2 ครั้ง เจอทนายของฝั่งเจ้าของที่ดินก็พบว่าเป็นรุ่นเดียวกับตนและมีฝีมือมาก จึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงสู้คดีแล้วชนะ ปัญหาคือทางวัดสวนแก้วมีเงินแต่ไม่เหลือเพียงพอที่จะชดใช้ค่าเสียหาย จึงตัดสินใจหาเงินช่วยปิดตำนานที่ดินถุงกล้วยแขก โดยการเปิดรับบริจาคเข้าบัญชีมูลนิธิวัดสวนแก้ว ณ วันนี้ได้รับยอดรวมทั้งสิ้น 10,033,681.95 บาท และจะนำไปจ่ายชดใช้ค่าเสียหายให้หมด เจ้าของที่ดินก็ดีใจที่ทางเราได้แก้ข่าวจากการถูกติฉินนินทามานาน พระพยอมยังปรารถนาที่จะได้ที่ดินแปลงนี้ ตนก็รับปากว่าจะเป็นนาย มีค่านายหน้าสำหรับตนคือบุญ เราในฐานะที่เป็นต้นบุญการเปิดรับบริจาคปลดล็อคที่ดินวัดสวนแก้ว พร้อมนำเงินที่เหลือเก็บเป็นทุนไว้ไปเจรจาขอซื้อที่ดินแปลงนี้กลับคืนมาจากเจ้าของที่ดิน หากไม่แพงจนเกินไป และหากพุทธศาสนิกชนท่านใด ที่ต้องการเป็นเจ้าภาพซื้อที่ดินเพื่อถวายให้เป็นสมบัติของสงฆ์ ก็สามารถมาร่วมด้วยช่วยกันได้ พระพยอมเป็นพระนักพัฒนา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนา ในวันนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เราได้ทอดผ้าป่า ได้เงินมา 10 ล้านกว่า เพื่อนำไปจ่ายชดใช้ค่าเสียหาย และนำเงินที่เหลือเป็นทุน โดยเจ้าของที่ดินก็ไม่ได้ปิดโอกาสที่เราจะไปขอซื้อคืนมาให้กลับมาเป็นผืนแผ่นดินของวัดสวนแก้ว
พระพยอม กล่าวว่า วันนี้ทางมูลนิธิกองทัพธรรม ได้มาร่วมทอดผ้าป่าสามัคคีปลดล็อกแผ่นดินวัดสวนแก้ว ซึ่งทางวัดมีทั้งคนเปราะบาง หลังๆมีทั้งคนเคยรวยมาขออยู่ด้วย ซึ่งเราช่วยทุกคนที่ทุกข์ร้อน แต่มีข้อจำกัดคือ 4 ขี้ ขี้เกียจ ขี้เมา ขี้ขอ ขี้ขโมย นอกจากนี้ยังมีคนไร้บ้าน เยอะจนรัฐบาลก็เริ่มรับไม่ไหว ล่าสุดทางศูนย์คนไร้ที่พึ่งมามาที่วัด 14 คน แต่ผ่านเกณฑ์แค่ 4 คน ปัญหานี้เยอะมาก มาอยู่ที่นี่ยังได้รับการสั่งสอน คนขยันย่อมอยู่เป็นสุข คนเกียจค้านย่อมอยู่เป็นทุกข์ ดั่งคำพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ว่า “เราควรโปรดบุรุษที่ควรโปรด สอนบุรุษที่ควรสอนได้” แผ่นดินวัดสวนแก้วเป็นที่สร้างงานสร้างอาชีพ บางคนติว่าซื้อที่ดินไปทำไมเยอะแยะ 5 ไร่ 10 ไร่ แต่ไม่รู้ว่ามีคนจรที่เข้ามาในวัดจำนวนมาก เคยมีมากถึง 1,900 คน ที่มาพึ่งพาอาศัยวัด
วันนี้ทางวัดได้ยอดบริจาคมากกว่า 10 ล้านบาท คนก็ว่ารวยแล้ว แต่มันยังมีที่ดินอีก 3 แปลง ที่อยู่ระหว่างตกลงกัน ปัจจุบันเราขอเช่าอยู่ และหากมีเงินพร้อมก็จะไปขอซื้อเพื่อไม่ต้องเสียค่าเช่า และพัฒนาที่ดินไว้ปลูกพืชผักต่างๆ ทางวัดมีผลผลิตมากมายที่เกิดขึ้น และนำมาแจกจ่ายให้กับประชาชนเวลาไปบิณฑบาต วันนี้เหมือนได้ปลดล็อคทุกอย่างราบรื่นไปหมด ดีใจที่ญาติโยมทุกคนร่วมด้วย แต่จะไม่ขอรับบริจาคบ่อย ไม่งั้นญาติโยมคงเพลียบุญไปหมด การกู้หนี้ยืมสินเป็นทุกข์ที่สุดในโลก การที่ญาติโยมมาช่วยปลดหนี้โดยที่พระไม่ได้นำเงินไปไม่ดี กินเหล้าเมายา หรือส่งเสียสีกา ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี ขอบใจญาติโยมทุกท่านที่มาร่วมด้วยช่วยกัน โดยพระพยอมได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ”
Advertisement