วันที่ 11 ก.พ.68 จากกรณีที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมกับ คณะครม. มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการแก้กฎหมาย เรื่องการห้ามขายเครืองดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ ในช่วงเวลา 14.00 น. ถึง 17.00 น.รวมทั้งเรื่องการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวนั้น
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวผู้สื่อข่าวได้เข้าสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นในเรื่องนี้กับทาง พระราชธรรมนิเทศน์ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
โดยพระพยอ มแสดงความคิดเห็นว่า เรื่องนี้มีความพยายามกันมานานแล้ว โดยคนต้นคิดคนแรกของประเทศไทยเป็นคนยศ พ.ต.อ. ที่โคราช เรียกร้องให้มีการทำเรื่องนี้ขึ้น โดยทดลองที่อำเภอเดียวก่อน แล้วก็มีการทดลองทำกันมา เพียงแต่ว่าในตอนนั้นกับตอนนี้มันแตกต่างกันไม่ขายเหล้าก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจเสียหายอะไร ก็เห็นใจรัฐบาลอยู่เหมือนกัน ว่าจะหาวิธีการอย่างไรมาทำให้เศรษฐกิจของประเทศมันฟื้น พอมาดูถ้ามันจะฟื้นได้ก็มีเรื่องการท่องเที่ยวมาเป็นอันดับหนึ่ง มีคนเที่ยวคนกินคนใช้เศรษฐกิจมันถึงจะขับเคลื่อนได้ ซึ่งพอเป็นแบบนี้มันก็ต้องมาชั่งน้ำหนักกันว่าระหว่างเศรษฐกิจกับธุรกิจมอมเมา ผลมันจะออกมาอย่างไร ถ้าได้เศรษฐกิจดีฟื้น แต่ต้องแก้ต้องยกเลิกบางอย่างมาเทียบกับการรักษาไว้ เหมือนต้องเลือกเอาระหว่างเศรษฐกิจกับศีลธรรม ก็ต้องเลือกเอาสักอย่างเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พระพยอม กล่าวอีกว่า เรื่องนี้มันก็อยู่ที่ตัวบุคคลด้วยเหมือนเกลือรักษาความเค็ม เราเคยดีเคยปฎิบัติอย่างไง เราก็ดีของเราอย่างนั้น ชาติอื่นจะมากินจะดื่มเที่ยวอย่างไรเป็นเรื่องของเขา เราอย่าไปทำตามแบบเขา แม้ว่าเราจะมีฐานะดี ทำตามแบบเขาได้ก็ตาม แต่เราต้องเป็นคนดีที่มีฐานะดีด้วย อันนั้นสำคัญที่สุด หรือถ้าฐานะไม่ดีแต่ปฎิบัติตัวเป็นคนดี ก็จะดีกับประเทศชาติ และพระศาสนา กลายเป็นคนดีที่ประพฤติตามหลักพระศาสนาต่อไป
ปัญหาเรื่องน้ำเมา หรือที่เรียกว่าน้ำผลาญสตินั้น คนเราถ้าสติไม่ดี ก็จะเกิดเรื่องเสียๆได้โดยง่าย แต่ถ้าเราสติดีมันเป็นเครื่องช่วยยับยั้งหักห้ามเหนี่ยวรั้งเอาไว้ให้เรื่องนี้ ขอให้ดูเหตุดูผลกันให้ดีก่อน แต่ถ้าคิดว่าเศรษฐกิจมันไม่ดี จนต้องใช้วิธีนี้มาแก้ไขก็แล้วแต่รัฐบาล อาตมาขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีไปชั่งน้ำหนักเรื่องนี้ดูให้ดี ข้อดีข้อเสียผลดีผลร้าย อันไหนจะกระทบมากกว่ากัน ถ้ามันเกิดผลเสียมากกว่า ก็ขอให้ยับยั้งไว้ก่อน แต่ถ้าไตร่ตรองดูแล้วว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี ศีลธรรมก็ดีก็ทำกันไป เรื่องก็คงกระทบไปถึงตัวคนบางคนเคยทำได้ลดได้ละได้ พอรัฐบาลมาเปิดโอกาสให้แบบนี้ ก็อาจจะงดอาจจะเว้นต่อไปไม่ได้ เพราะนิสัยมนุษย์ชอบปล่อยตัวปล่อยใจไหลไปตามน้ำไม่ได้ ลอยทวนน้ำ พอรัฐบาลมาแก้กฎหมายให้ตามใจก็ไปกันใหญ่.
Advertisement