อ่วมแน่! 7 ตำรวจจราจรกลาง เตรียมโดนเอาผิด พ.ร.บ.อุ้มหาย

อ่วมแน่! 7 ตำรวจจราจรกลาง เตรียมโดนเอาผิด พ.ร.บ.อุ้มหาย ยังปฏิเสธอ้างไม่ได้เจตนาทำร้าย ขณะที่เจ้าของรถมาสด้า 2 แหกด่านเข้ามอบตัว สน.บางเขนเย็นนี้ 

วันที่ 9 ธ.ค. 67 พ.ต.อ.ธิติพงศ์ ภิวัฒน์วุฒิกุล รอง ผบก.น.2 เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีตำรวจ บก.จร. 7 นาย รุมทำร้ายร่างกายลูกอดีตนายตำรวจได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา เพราะเข้าใจผิดคิดว่าแหกด่านตรวจว่า 

คอนเทนต์แนะนำ

อาลัย "ต้าเอส" หรือ "ซันไช่" นางเอก F4 ละครในตำนานเสียชีวิตในวัย 48 ปี

น้ำมันในท่าขี้เหล็กพุ่งลิตรละ 100 บาท จนท.สลับไปใช้ไฟฟ้าลาวแล้ว 90 %

ตรึงกำลังรั้วลวดหนาม คุมเข้มสกัดกั้น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งสระแก้ว

จากการเข้าไปสอบปากคำผู้ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมาก สอดคล้องกับภาพวงจรปิด และพยานหลักฐานที่ทางพนักงานสอบสวนรวบรวมได้ โดยเฉพาะคำให้การของครอบครัวผู้เสียหาย 

ในส่วนข้อหาที่แจ้งดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตำรวจทั้ง 7 นาย ประกอบไปด้วยข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ 

สำหรับประเด็นเรื่องข้อหาตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย นั้น จากการทำหนังสือปรึกษากับพนักงานอัยการเบื้องต้น คาดว่าน่าจะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.อุ้มหาย จึงได้ประสานให้ทางพนักงานอัยการเข้ามาร่วมการสอบสวนในคดีนี้ หากพบว่ามีความผิดก็เตรียมจะเรียกตำรวจทั้ง 7 นายมาแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป 

พ.ต.อ.ธิติพงศ์ กล่าวต่อว่า โดยจากการแจ้งข้อหา และสอบปากคำ ผู้ต้องหาทั้ง 7 นายยังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว และไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายร่างกาย รวมทั้งจะขอยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรในภายหลัง 

เมื่อถามว่า แล้วมีเหตุจูงใจใดในการลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย หรือเป็นยุทธวิธีของตำรวจ พ.ต.อ.ธิติพงศ์ กล่าวว่า โดยหลักการแล้วทางตำรวจจะต้องคุมสถานการณ์โดยคำนึงถึงเหตุการณ์ตามสมควรตั้งแต่เบาไปหาหนัก ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดี แต่ในส่วนรายละเอียดนั้น ต้องรอคำให้การของผู้ต้องหาก่อน จึงไม่ต้องกังวลว่าผู้ต้องหาจะให้การแบบใด เพราะพยานหลักฐานต่างๆ เพียงพออยู่แล้ว ส่วนคำให้การของผู้เสียหายอยู่ในสำนวนคดี ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ 

สำหรับขั้นตอนการดำเนินคดีหลังจากนี้นั้น ทางพนักงานสอบสวนมีกรอบระยะเวลา 30 วันในการเร่งสรุปสำนวนให้แล้วเสร็จ ก่อนจะส่งสำนวนคดีให้ ป.ป.ช. พิจารณาต่อไปว่า หาก ป.ป.ช. จะรับคดีดังกล่าวไปทำเองหรือจะส่งมอบให้พนักงานสอบสวนทำคดีเช่นเดิม โดยในกรอบเวลา 30 วันนี้รวมทั้งการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย ด้วย 

พ.ต.อ.ธิติพงศ์ กล่าวอีกว่า ส่วนคนขับรถที่แหกด่านนั้น จากการเรียกตรวจเบื้องต้นในคืนดังกล่าว พบว่ามีอาการคล้ายเมาสุรา และจากการเป่าเครื่องวัดเบื้องต้น พบมีแอลกอฮอลล์ในลมหายใจ ทางตำรวจจึงได้เรียกจอดข้างทาง เพื่อตรวจเช็กอย่างละเอียด แต่คนขับรถคนดังกล่าวได้ฝ่าฝืนแหกด่านออกไป ดังนั้นคนขับรถที่แหกด่านจึงมีความผิดฐานเมาสุราในขณะขับรถ ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน และทำให้เสียทรัพย์ โดยคนขับรถที่แหกด่านยืนยันแล้วว่า จะเข้ามาพบกับพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในเย็นวันนี้ (9 ธ.ค. 67) เวลา 18.00 น. 

ทั้งนี้ยืนยันว่า การดำเนินคดีกับคนขับรถแหกด่าน ไม่ใช่เป็นการเบี่ยงประเด็นทางคดี แต่เป็นการดำเนินคดีแยกส่วนกันคู่ขนานกันไป ทั้งในส่วนของคนที่ขับรถแหกด่านและ 7 ตำรวจที่ทำร้ายร่างกาย 

สำหรับประเด็นข้อสงสัยในเรื่องกล้องวงจรปิดนั้น ยืนยันว่าพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานไล่กล้องวงจรปิดจนครบถ้วนหมดแล้ว โดยเฉพาะกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร แต่ไม่สามารถนำมาเปิดเผยแก่สาธารณะชนได้ จึงยืนยันว่าทางตำรวจไม่ได้ทำงานล่าช้าตามที่สังคมสงสัย ส่วนเรื่องกล้อง Body Cam ของตำรวจนั้น เบื้องต้นได้ทำหนังสือประสานไปยัง บก.จร. ต้นสังกัดของผู้ต้องหาทั้ง 7 นายแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการรอให้ทาง บก.จร. ส่งกล้อง Body Cam มาให้ โดยจะเร่งรัดให้ได้กล้องบอดี้แคมโดยเร็วๆ นี้ 

อย่างไรก็ตาม กล้อง Body Cam เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของพยานหลักฐาน แต่ยืนยันว่า พยานหลักฐานกล้องวงจรปิดและคำให้การของผู้เสียหายกับครอบครัวของผู้เสียหายครบถ้วนเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 7 นายแล้ว 

เมื่อถามว่า การตั้งข้อสังเกตว่า กล้อง Body Cam อาจจะมีการบันทึกบทสนทนาได้ดีกว่ากล้องวงจรปิด หากยังไม่ได้พยานหลักฐานส่วนนี้ จะทำให้คดีคลาดเคลื่อนหรือไม่ พ.ต.อ.ธิติพงศ์ ยืนยันว่าไม่มีผลใดๆ เพราะทางตำรวจมีพยานหลักฐานด้านอื่นๆ ครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ไม่กังวลว่าต้อง Body Cam จะมีปัญหาว่าเสีย เพราะเนื่องจากกล้อง Body Cam นั้นมีหรือไม่มีก็ไม่ใช่สาระสำคัญ