วันที่ 18 ธันวาคม 67 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นำโดย พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกันแถลงปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เกี่ยวพันกับแก๊งยากูซ่าประเทศญี่ปุ่น ซึ่งลักลอบตั้งถิ่นฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย
สืบเนื่องจากมีชาวญี่ปุ่นรายหนึ่ง ซึ่งอ้างตัวเองว่าทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของชาวญี่ปุ่น มีฐานอยู่ที่ จ.ชลบุรี ได้ลักลอบหนีออกมาจากฐานแล้วเดินทางมาติดต่อสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงชาวญี่ปุ่น เนื่องจากสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป
เพื่อเป็นการสืบสวนข้อเท็จจริง ทางสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นจึงได้ประสานให้ทางตำรวจตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการสืบสวนสอบสวนจนพบว่า มีกลุ่มคนร้ายลักลอบจัดตั้งสำนักงานคอลเซ็นเตอร์เพื่อหลอกลวงชาวญี่ปุ่นจริง เป้าหมายเป็นผู้สูงอายุวัยเกษียณที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น โดยหลอกลวงว่าจะได้รับเงินประกันสุขภาพคืน ซึ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ญี่ปุ่นนี้ จะทำงานตั้งแต่วันจันทร์ - วันเสาร์ ด้วยการโทรทางไกลข้ามประเทศและแปลงสัญญาณเป็นเบอร์บ้านเข้าสายไปยังเหยื่อในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีรูปแบบสคริปการหลอกลวงว่า “เป็นการขอคืนเงินค่ารักษาพยาบาล โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ”
โดยคอลเซ็นเตอร์จะปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐ โทรศัพท์ไปอธิบายกับเหยื่อที่ประเทศญี่ปุ่นว่า จะมีการคืนค่ารักษาพยาบาลสะสมจำนวนหลายล้านเยนและจะให้เหยื่อทำการเตรียมเงินไว้ในบัญชี ตั้งแต่จำนวน 500,000 เยนขึ้นไป จากนั้นจะหลอกให้เหยื่อไปทำรายการโอนเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็มไปยังบัญชีของคนร้าย เมื่อเหยื่อโอนเงินให้แล้ว หัวหน้าแก๊งก็จะสั่งการให้ลูกน้องไปถอนเงินออกจากบัญชี
จากการสืบสวนพบว่า กลุ่มคนร้ายได้ลักลอบจัดตั้งสำนักงานคอลเซ็นเตอร์อยู่ในพื้นที่ จ.ชลบุรี จำนวน 2 แห่ง จึงได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลจังหวัดพัทยาเข้าตรวจค้น โดยจุดที่ 1 เป็นบ้านพูลวิลล่าหรูซึ่งเป็นบ้านของหัวหน้าสั่งการ จากการตรวจค้นพบนายทากายูกิ (สงวนนามสกุล) และนายฮาจิเมะ (สงวนนามสกุล) พักอาศัยอยู่ จากแนวทางการสืบสวนทั้ง 2 คน เป็นผู้ควบคุมและสั่งการพนักงานคอลเซ็นเตอร์ สามารถตรวจยึดหลักฐานเป็นโทรศัพท์มือถือ แทปเล็ต อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมจำนวน 42 รายการ ซึ่งมีภาพการสนทนากับสมาชิกคอลเซ็นเตอร์ สคริป และข้อมูลของเหยื่อที่ถูกหลอกลวง
จุดที่ 2 เป็นบ้านพูลวิลล่าอีกหลัง ซึ่งเป็นบ้านที่ทำเป็นฐานคอลเซ็นเตอร์ พบนายเคนจิโระ (สงวนนามสกุล) นายทากาฮิโระ (สงวนนามสกุล) และ นายคัตสึฮิโตะ (สงวนนามสกุล) พักอาศัยอยู่ จากแนวทางการสืบสวน พบว่าทั้ง 3 คนเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ สามารถยึดโทรศัพท์มือถือ แทปเล็ต กระดานรายชื่อ ข้อมูลของผู้เสียหาย ได้จำนวน 37 รายการ ซึ่งภายในเครื่องมีภาพสคริป การสนทนากับเหยื่อ และข้อมูลของเหยื่อที่ถูกหลอกลวง
จากพฤติการณ์และพยานหลักฐานดังกล่าว เป็นที่น่าเชื่อว่าชาวญี่ปุ่นทั้ง 5 ราย เป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม ทางตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร จากนั้นได้นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวไว้รอการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
จากการสืบสวนเพิ่มเติมยังพบว่า หัวหน้าแก๊งเคยเป็นสมาชิกยากูซ่าแก๊งยามากูจิในประเทศญี่ปุ่น โดยขบวนการดังกล่าวได้ย้ายฐานคอลเซ็นเตอร์จากมาเลเซียมาตั้งที่ จ.ชลบุรี ประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งตลอด 70 กว่าวันที่มาอยู่ในไทย มีผู้เสียหายถูกหลอกลวงมูลค่าความเสียหายรวมเป็นเงิน 24,000,000 เยน/วัน หรือประมาณ 5 ล้านบาทต่อวัน รวมมูลค่าความเสียหายเกือบ 300 ล้านกว่าบาท
นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลดิบซึ่งเป็นรายชื่อและเลขบัญชีของเหยื่อชาวญี่ปุ่นไม่ต่ำกว่า 50,000 ราย ข้อมูลสคริปต์ที่ใช้สำหรับพูดหลอกลวงและกลุ่มคนร้ายมีการแจกแจงรายละเอียดการเงินเป็นอย่างดี โดยเฉพาะข้อมูลเรื่องของส่วนแบ่งที่จ่ายให้กับลูกน้องและการให้คะแนนเหยื่อที่หลอกง่ายไปจนถึงหลอกยาก โดยพบว่ามีการเขียนลงในกระดานไวท์บอร์ดและในโทรศัพท์มือถือ
ที่สำคัญ ยังพบการแจกแจงเส้นเงินเพื่อลงทุนธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อเป็นการฟอกเงิน เช่น ธุรกิจร้านซาวน่า ร้านกัญชา ร้านคาเฟ่ รวมทั้งเปิดเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย จึงน่าเชื่อว่า ขบวนการนี้น่าจะมีคนไทยเป็นนอมินีและให้การสนับสนุน รวมทั้งชักจูงให้มาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ซึ่งในส่วนนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม รวมทั้งได้ประสานให้ตำรวจประเทศญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาเพื่อร่วมสืบสวนสอบสวนขยายผลข้อมูลเพิ่มเติมจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์แก๊งนี้ต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม แก๊งยากูซ่าดังกล่าวนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าหั่นศพชาวญี่ปุ่นด้วยกันที่ จ.นนทบุรี เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
Advertisement