วันที่ 11 ม.ค. 68 ที่อาคารหมอเส็ง สำนักงานใหญ่ นายสัญชัย วันพิรัตน์ หรืออาจารย์เบียร์ ฅนตื่นธรรม พร้อมด้วย นายวิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร ประธานบริษัท หมอเส็ง (ไทยแลนด์) หม่อมหลวง สกุล มาลากุล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และเป็นคณะกรรมการวิสามัญ พิทักษ์และเทิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์ นายสุทธิ กิตติศุภพร อดีตอธิบดีอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้
โดนอาจารย์เบียร์ เปิดเผยว่า เนื่องจากมีกรณีที่มีคลิปวิดีโอที่แชร์กันอยู่ในโลกโซเซียล เกิดจากที่อาจารย์ไลฟ์เฟซบุ๊กสอนธรรมะอยู่ทุกวัน ซึ่งคลิปต้นเรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา แล้วเขาไปขุดขึ้นมาแชร์ย้อนหลังเพื่อให้เป็นประเด็นสังคมในปัจจุบัน อย่างกรณีที่มีการไปพูดว่าตัวเองไปกล่าวอ้างพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น อาจารย์เบียร์ ชี้แจงว่า ความเป็นจริงตัวเองไม่ได้พาดพิงถึงสถาบัน แต่เจตนาเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา ส่วนที่มีคลิปอาจารย์ไปพูดว่ามีแบ็กใหญ่นั้น คำว่าแบ็กใหญ่นั้น ในช่วงต้นคลิปตัวเองก็พูดชัดเจนแล้วว่าแบ็กเราคือพระพุทธเจ้า ซึ่งในคลิปก็จะมีคำว่าแบ็กเราคือพระพุทธเจ้า ไม่มีใครใหญ่เกินพระพุทธเจ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นนายพล นายกรัฐมนตรีหรือว่าสถาบัน ซึ่งเป็นการพูดยกตัวอย่าง โดยในพระไตรปิฎกก็มีการพูดถึงบริบทนี้ว่าพระองค์ทรงอยู่เหนือ และพุทธบริษัทสี่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ดังนั้นพระพุทธเจ้าจะอยู่ในฐานะสูงสุดในโลกธาตุ
แต่ในบริบทที่อาจารย์พูดถึงไม่ได้ไปพาดพิงถึงสถาบันหรือกษัตริย์ พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่เราพูดถึงบริบทที่พระองค์ของการที่พระองค์ทรงบันลือสีหนาทไว้ว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือโลก พระองค์ทรงสอนให้ทุกคนพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยืนยันว่าสิ่งที่สอน ในวันนั้นคือกำลังพูดถึงประเด็นนี้ ไม่ได้มีเจตนาพูดถึงสถาบันแต่อย่างใด
อาจารย์เบียร์ บอกว่า สำหรับคลิปวิดีโอที่มีการตัดคลิปออกไปนั้น มีเจตนาจาบจ้วงสถาบัน โดยการดึงสถาบันมาใส่ร้ายป้ายสีอาจารย์เองหรือไม่ เพราะมีการตัดเนื้อหาของพระพุทธเจ้าออกให้เหลือแค่เนื้อหาที่อาจารย์พูดว่ามีแบ็กใหญ่เหนือกว่าสถาบันทั้งหมด จนทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด จนนำไปสู่การฟ้องร้องเอาผิดตัวเอง ม.112 ซึ่งเป็นเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและดึงสถาบันมาเกี่ยวข้อง ขอยืนยันอีกครั้งว่า ตัวเองไม่มีเจตนาในการพาดพิงถึงสถาบัน แต่คนที่ตัดคลิปมีเจตนาอะไร มีเจตนาพาดพิงถึงสถาบันเองหรือไม่ ซึ่งคลิปนี้ตัวเองพยายามอธิบายอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีคนพยายามนำคลิปไปปั่นกระแสโดยไม่ได้ฟังคลิปเต็ม
ส่วนคลิปที่สอง มีการพูดถึงมหาเถรสมาคม อาจารย์เบียร์ บอกว่ามีบริบทนั้นมันเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมช่วงเวลานั้น ส่วนตัวพูดถึงพระอาจารย์รูปหนึ่ง ที่กำลังมีการตรวจสอบไต่สวนในเรื่องของการสอนธรรมมะที่ไม่ถูกต้อง 100% พูดไม่ตรงกับพระไตรปิฎก เชื่อถือไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีบางประเด็นที่ขัดแย้งกันอยู่ ซึ่งมันก็เป็นหนึ่งในความเห็น มหาเถรสมาคม จึงเรียกพระสงฆ์รูปดังกล่าวไปตรวจสอบซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากในสังคม
ตัวเองในฐานะฆราวาส ผู้สอนธรรมะ ตัวเองจึงวิพากษ์วิจารณ์ว่าในกรณีนี้มหาเถรสมาคมบางส่วน มีการตัดสินใจตามธรรมตามวินัยก็ถูกต้องดีแล้ว ควรแก่การรักษาไว้ แต่สำหรับบุคคลที่ทำตามกฎหมายแล้วก็ไม่ควรจัดการ ตัวเองก็ตำหนิไปตามกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามสังคมทั่วไปที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ส่วนตัวยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาชี้โทษว่าใครถูกใครผิด รวมถึงไม่ได้มีการไปพูดถึงสมเด็จพระสังฆราชฯ ซึ่งมีการไปปั่นกระแสว่าตัวเองไปจาบจ้วงถึงสมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งที่ผ่านมาตนได้มีการถวายเงินเงินให้กับคณะสงฆ์ตามวัดที่ตนเองนับถือศรัทธาไม่ว่าจะเป็นวัดป่าวัดเขาต่างๆ โดยที่ผ่านมาได้มีการบริจาคเงินไปแล้วกว่า 20 ล้านบาท จะมาบอกว่าตนล่มจมต่อศาสนาได้อย่างไร รวมถึงปีใหม่ที่ผ่านมาตนได้มีการ มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีโดยมีประชาชนเข้าร่วม 4,000 กว่าคน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งหลังจากนี้ตนพยายามที่จะเข้าไป กราบพระเถระด้วยตัวเอง แต่ที่ผ่านมาตนยังไม่มีโอกาสเมื่อเกิดกระแสสังคมเช่นนี้ ตนก็อยากจะเข้าไปก้มกราบเพื่อแสดงเจตจำนงความบริสุทธิ์ใจของตนเอง พร้อมบอกว่าที่ผ่านมาตนสามารถก้มกราบพระปีนเสาได้ ดังนั้นตนก็ไม่มีเจตจำนงที่จะกล้าไปดูหมิ่นพระเถรสมาคม แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นขณะนี้มีความพยายามที่จะปลุกปั่นยุยง ให้สังคมแบ่งฝักแบ่งฝ่าย โดยใส่ข้อความว่า #saveพระสังฆราช ทำให้ตนเป็นคู่ขัดแย้งกับพระสังฆราช ซึ่งในความเป็นจริงแล้วตนเองมีความเคารพ นอบน้อมต่อพระสังฆราชมาโดยตลอด รวมถึงพระมหาเถระ ซึ่งถ้าท่านเปิดโอกาส ก็อยากจะเข้าไปพบเพื่อรับโอวาท และกลับมาปฏิบัติตาม
ที่ผ่านมาตนไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่ตนเองกำลังจะสื่อสารได้ ทุกคนมีหลักความเชื่อเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นเวลาที่ตนเองพูดหรือสอนธรรมะอะไรไปในสังคม ก็อาจจะมีความคิดเห็นที่เห็นขัดแย้งกันได้เป็นเรื่องปกติ แต่ขอร้องว่าอย่ารีบร้อนในการตัดสินใจให้หาข้อมูลหาข้อเท็จจริง ก่อนที่จะมาด่ากันด้วยการรังเกียจเดียดฉันท์กัน และจากการเข้าใจผิด ตนยังอยู่อีกนานยังไม่ตายวันนี้ เพราะฉะนั้นอย่ารีบร้อนที่จะด่า เพราะเรื่องนี้มันเกิดจากคนที่รังเกียจเดียดฉันท์อาจารย์เบียร์ จึงเกิดกระแสดังกล่าวขึ้นมา
พร้อมบอกว่าตั้งแต่เกิดกระแสดรามามา ตนก็ได้มีการไปออกมาหลายรายการ เพราะฉะนั้นตนก็พร้อมที่จะเคลียร์กับทางกองทัพธรรมไม่ว่าจะเป็นหน้าบ้านหลังบ้าน ตนก็พร้อมที่จะพูดคุย แต่ที่ผ่านมาแต่ละรายการที่จะติดต่อไปนั้น กองทัพธรรมเองก็ไม่ยอมรับสายโทรศัพท์และไม่ยอมออกรายการ จึงทำให้ตนไม่สามารถที่จะชี้แจงเจตจำนงของตนเองได้ว่าเจตจำนงที่แท้จริงของตนเองนั้นคืออะไร ซึ่งถ้าอยากจะให้ศาสนานั้นดีขึ้น เป็นคนพุทธและยึดมั่นในศาสนาก็ควรจะสมานฉันท์กัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้หากพิสูจน์แล้วว่าอาจารย์เบียร์เองไม่มีความผิด จะมีการฟ้องกลับกับคนที่แจ้งความหรือไม่ อาจารย์เบียร์ ระบุว่าในส่วนของตนเองไม่ได้คิดว่าจะต้องฟ้องกลับ แต่ในส่วนของคนอื่นหรือทีมงานที่เกี่ยวข้องก็แล้วแต่ดุลยพินิจของเขาให้เขาตัดสินใจกันเอง
ต่อมา คุณวิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร ประธานบริษัท หมอเส็ง (ไทยแลนด์) ระบุว่า ในส่วนของเรื่องประเด็นข้อกฎหมายจะมีการรวบรวมคลิปส่งให้กับเจ้าหน้าที่ บก.ปคบ. ให้ตรวจสอบดูว่ามีเจตนาตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ และหากตรวจสอบว่าคลิปดังกล่าวเป็นคลิปปลอมหรือถูกตัดต่อ คนที่เข้าไปแจ้งความก็จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ แต่หากเจ้าหน้าที่มีข้อสงสัยในส่วนของการกระทำของอาจารย์เบียร์ ทางอาจารย์เบียร์และคณะ ก็พร้อมที่จะเข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงในประเด็นนี้
ผู้สื่อข่าวจึงถามกลับว่าการที่พูดในลักษณะทำนองนี้เป็นเหมือนการข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องหรือไม่ ยืนยันว่า เรื่องการฟ้องร้อง ไม่ใช่การข่มขู่ ส่วนรายละเอียดในการฟ้องร้องจะเป็นอย่างไรนั้นจะมีการแถลงข่าวภายหลัง ซึ่งตอนนี้ได้มีการรวบรวมข้อมูลและหลักฐานรวมถึงรายชื่อคนที่จะถูกดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าน่าจะมีความชัดเจนในสัปดาห์หน้า
ด้าน นายสุทธิ กิตติศุภพร เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ที่ตนเป็นอัยการมาเป็น 46 ปี มองว่าเรื่องดังกล่าวมีความผิดหรือไม่ให้ดูที่เจตนา ในการที่ไปกล่าวอ้างความผิดในมาตรา 112 นั้นเป็นข้อหาที่ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นต้องดูการกระทำว่ามีเจตนามุ่งหมายอะไร และต้องดูให้ครบถ้วนทั้งหมดไม่ใช่การตัดตอนหรือหยิบบางข้อความมาเท่านั้น ซึ่งตนเองไม่ได้ดูข้อเท็จจริงทั้งหมดจึงไม่สามารถที่จะวินิจฉัยชี้ขาดได้ แต่เบื้องต้นในมุมมองของนักกฎหมายข้อเท็จจริงนั้นยังไม่จบสิ้น แต่ส่วนตัวยังมองว่าขาดเจตนา
Advertisement