จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI เตรียมร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากกรณีที่พูดกล่าวหาว่ามีเทวดารับสินบนใน DSI จากกรณีบริษัท The Icon Group จำกัด ตามที่ปรากฏในเอกสารแถลงข่าว ของ DSI แล้วนั้น
ล่าสุดนายเอกภพ ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนรู้สึกประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านี้ตนได้มีโอกาสพูดคุยกับอธิบดี DSI และโฆษก DSI ซึ่งตนได้ชื่นชมการเข้ามาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ใน DSI โดยเป็นการพูดแทนพี่น้องประชาชน อย่างไรก็ตาม DSI เป็นองค์กรของรัฐและกินภาษีของประชาชน ซึ่งประชาชนมีสิทธิ์ตั้งคำถามและมีสิทธิ์ตรวจสอบ ถ้าหน่วยงานของรัฐมีข่าวว่าเกิดการทุจริตขึ้น คนที่เจ็บช้ำที่สุดคือตน ในฐานะประชาชน รวมทั้งคนไทยทุกคน เพราะมีหน้าที่เสียภาษี คนที่เสียหายจึงไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ
ดังนั้น ตนเป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแทนประชาชน เราไม่ได้อยากไปพูดให้หน่วยงานรัฐเสียหาย เพราะหน่วยงานรัฐไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของคนไทยทุกคน ท่านมีหน้าที่แค่บริหารงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ซึ่งตนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาทำให้เสียหาย แต่เป็นการติเพื่อก่อและทำให้ดีขึ้น รวมทั้งสิ่งที่พูดไปนั้นเป็นสิ่งที่ผ่านมาในอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน
ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือไม่ จากการถูกแจ้งความโดย DSI นายเอกภพ กล่าวว่า ไม่มีหรอก แต่ตนไม่แน่ใจว่า อาจจะไปแตะเทวดาบางคนหรือไม่ ซึ่งบางคนเคยคอมเมนต์เตือนตนว่า มีเทวดาบางตนมีฤทธิ์ ตนต้องระวัง เช่นเดียวกับมีผู้ใหญ่หลายคนคุยกับตนตั้งแต่ตนเขามาในเรื่องนี้ว่า ไม่รู้หรอกว่ามีใครเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้บ้าง จึงเตือนว่าไม่อยากให้ตนเข้ามายุ่งในเรื่องนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าเมื่อผู้เสียหายมาร้องเรียนแล้ว เราก็ช่วยเท่าที่เราช่วยได้ ซึ่งถือว่าเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ มองว่าวันนี้สังคมไทยเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ระบอบคอมมิวนิสต์ ประชาชนมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานของรัฐได้ แต่ตอนนี้ทำเหมือนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่พูดไม่ได้ หากพูดแล้วจะต้องถูกแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งตนมองว่าไม่ถูกต้อง
ส่วนประเด็นที่ทาง DSI ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภายในแล้วพบว่าไม่มีเทวดาตามที่กล่าวอ้าง จึงทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่องค์กร นายเอกภพมองว่า เสื่อมเสียยังไง ไม่มีใครทำให้ตัวเราตกต่ำและสูงขึ้นได้ นอกจากตัวของตัวเราทำตัวเอง คนพูดกี่ร้อยกี่พันคน ท่านก็ไม่ตกต่ำ ถ้าท่านไม่ได้ทำแบบนั้น วันนี้ DSI ต้องพิสูจน์ตัวเอง ยืนยันว่าตนยังชื่นชมอธิบดี DSI และผู้บริหารชุดนี้ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาจากหลายเคสที่เริ่มทำเริ่มแก้ไขปัญหา
แต่จะเสียความรู้สึกหรือไม่นั้น นายเอกภพ ก็ยอมรับว่ามีบ้าง เพราะในฐานะประชาชน วันนี้ไม่ใช่หน่วยงานเสียความรู้สึก แต่เป็นประชาชนที่เสียความรู้สึก เพราะเราเป็นคนจ่ายภาษี เราย่อมมุ่งหวังว่า หน่วยงานของภาครัฐจะต้องนำเม็ดเงินภาษีไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ การติเพื่อก่อก็ย่อมทำได้ เพราะพูดด้วยความสุจริต ไม่ได้ชี้ว่าคนนั้นคนนี้โดยจำเพาะ เราได้ยินมาอย่างไร เราก็พูดอย่างนั้น ซึ่งอยากให้รู้สึกว่า สังคมต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น อย่าคิดว่า ตนมี Hidden Agenda อะไร ตนไม่รู้จักใครเป็นการส่วนตัวและก่อนหน้านี้ ตนให้ความร่วมมือและทำงานกับ DSI ด้วยกันมาโดยตลอด ล่าสุดก็เคยไปเป็นพยานในคดีค้ามนุษย์ ไม่อยากให้ภาพการทำงานร่วมกันมาเป็นเรื่องของการจับผิดกัน
ทั้งนี้ ตนตั้งข้อสังเกตว่า เรื่อง The Icon หลายคนก็วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ DSI เพราะเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งไม่ควรไปไล่ฟ้องใครโดยอาศัยเงินภาษีประชาชน เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ DSI มีสิทธิ์ออกมาชี้แจงว่า อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องหรือสิ่งที่พูดเป็นเรื่องเข้าใจผิดและมีข้อเท็จจริงอย่างไร ในฐานะองค์กรของรัฐต้องทำหน้าที่ปกป้องประชาชน
สำหรับการแจ้งความดำเนินคดี ตนคาดว่าน่าจะเป็น สน.ทุ่งสองห้อง ถ้าหากมีหมายเรียกมา ตนก็พร้อมที่จะเข้าไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเบื้องต้นมีการพูดคุยปรึกษากับฝ่ายกฎหมายไว้แล้ว เช่นเดียวกับ นายอัจฉริยะ ซึ่งหลายคนก็ฟังแล้วมองว่าเป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องเท่านี้เอง
นายเอกภพ ยืนยันว่า ตนจะทำหน้าที่นี้ต่อไป ถึงแม้ว่าอาจจะมีใครที่ต้องการให้ตนหยุดช่วยเหลือประชาชนหรือไม่ต้องการให้ออกมาเป็นปากเป็นเสียงของประชาชน แต่ตนยืนยันว่าจะเดินหน้าทำต่อไป พร้อมแนะว่า หน่วยงานของภาครัฐควรจะเป็นพันธมิตรกับ NGOs เพื่อประสานการทำงานและแก้ไขปัญหาร่วมกัน.
Advertisement