วันที่ 10 ก.พ.68 พลตำรวจโทยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมด้วยนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่และจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ร่วมกับภาคเอกชนที่รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม
โดยในจุดแรก คือ สถานีรถไฟ ด่านพรมแดนคลองลึก อำเภออรัญประเทศ แนวรั้วติดกันกับชายแดนประเทศกัมพูชา ในจุดนี้จะมีสายสัญญาณ สายสื่อสาร ระโยงระยางจำนวนมากจากฝั่งไทยไปยังฝั่งกัมพูชา
ซึ่งเจ้าหน้าที่เรียกผู้ประกอบการภาคเอกชน เจ้าของสายสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต จำนวน 13 ราย มาแสดงตนเป็นเจ้าของสาย พร้อมทำสัญลักษณ์ตามสายของตนเอง ซึ่งสายโทรศัพท์หรือสายอินเตอร์เน็ตใด ที่ไม่มีผู้แสดงความเป็นเจ้าของ เจ้าหน้าที่ กสทช. จะทำการตัดสายดังกล่าวที่โยงไปประเทศกัมพูชาทันที เนื่องจากมีข้อพิรุธว่าเป็นการเชื่อมโยงสัญญาณที่ไม่ได้รับอนุญาตและอาจจะนำไปก่ออาชญากรรม
สำหรับผู้ประกอบการทั้ง 13 รายในจุดดังกล่าวมีการประกอบธุรกิจ 2 รูปแบบคือ
1.บริการวงจรสื่อสารข้อมูลส่วนตัวความเร็วสูงระหว่างประเทศ (International Private Leased Circuit หรือ IPLC) ซึ่งเป็นธุรกิจบริการสัญญาณ อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ระหว่างบริษัทเดียวกันแต่คนละสาขา หรือ บริษัทกับพาร์ทเนอร์ธุรกิจ ในส่วนนี้ สัญญาณที่ส่งไปจากไทยจะไม่มีการแปลงสัญญาณจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน
2.บริการเชื่อมต่อสื่อสารข้อมูลอินเทอร์เน็ตผ่านโครงข่าย (International Internet Gateway หรือ IIG) เป็นธุรกิจที่บริการสัญญาณ อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ รายใหญ่ที่ขายทั้งสัญญาณ ซึ่งเมื่อสัญญาณข้ามประเทศแล้ว IP address จะเปลี่ยนเป็นของประเทศนั้นๆ
เจ้าหน้าที่ กสทช. กล่าวว่าปฏิบัติการเฉพาะวันนี้ ทางกสทช. เรียกผู้ให้บริการสัญญาณภาคเอกชนมาทั้ง 13 ราย ทั้งหมด จะต้องสามารถทำสัญลักษณ์ในสายตัวเองให้ได้ ซึ่งหลังจากที่ระบุตัวเจ้าของสายสัญญาณได้เรียบร้อยแล้ว กสทช. จะตรวจสอบย้อน ไปที่ปริมาณการใช้หากพบว่าผิดวิสัยปกติคือมีการใช้ตลอด 24 ชั่วโมงเป็นจำนวนมาก ก็จะเรียกสัญญาของเอกชนเจ้าของสายนั้น มาหารือ ว่าสายสัญญาณดังกล่าว อาจถูกใช้ในเครือข่ายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ขณะที่หลังจากการตรวจสอบพบว่าจุดดังกล่าวมี 32 สายสัญญาณ แต่มีเจ้าของมาแสดงตนเพียง 29 สาวสัญญาณ ดังนั้น จนท.จะตัด 3 เส้นสายสัญญาณ ส่วน 29 สายสัญญาณเจ้าของจะต้องมาชี้แจงว่าสัญญาณที่ส่งไปทางฝั่งประเทศเพื่อนบ้านได้ตรวจสอบถึงวัตถุประสงค์ในการส่ง ว่าส่งไปประกอบธุรกิจหรือส่งไปเพื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งหากชี้แจงไม่ได้จะยกเลิกและถอนใบอนุญาตการส่งสัญญาณข้ามประเทศทันที
ขณะที่อีกจุด บริเวณหลังตลาดเบ็ญจวรรณ ที่ตั้งเสาสัญญาณโทรศัพท์ ความสูง 40 เมตร ของ 2 เจ้าบริษัทเครือข่ายโทรศัพท์รายใหญ่ของประเทศ ที่ตั้งห่างจากเขตชายแดนกัมพูชา 200 เมตร ซึ่งจุดดังกล่าว เมื่อพฤษภาคม 2567 จนท.กสทช.ได่เข้ามาปรับแผงส่งสัญญาณจากเดิมที่หันไปยัง ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านปรับหันกลับมายังฝั่งประเทศไทย ซึ่งรัศมีสัญญาณจากแผงส่งไกลถึง 2 กิโลเมตร แต่หลังจากกลับแผงส่งสัญญาณพบว่ายังมีสัญญาณรอดออกจากทางด้านหลังที่เป็นฝั่งประเทศเพื่อนบ้านรัศมี 1 กิโลเมตร และจากการข่าวพบว่าฝั่งประเทศเพื่อนบ้านได้นำเครื่องลักสัญญาณ ก่อนนำไปบูธกระจายยังฝั่งของประเทศตนเอง
โดยวันนี้จากการลงพื้นที่เจ้าหน้าที่จะประสานไปยังเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเพื่อให้นำกล่องเสาอากาศที่กระจายสัญญาณเอาลงมา เบื้องต้นต้องใช้เวลาประมาณ 15 วัน แต่สิ่งที่ทำได้ในวันนี้เลย คือการปิดการกระจายสัญญาณลง เพื่อให้ฝั่งเพื่อนบ้านไม่สามารถใช้สัญญาณได้ ส่วนชาวบ้านฝั่งประเทศไทย ทาง กสทช.ตรวจสอบ สัญญาณจากในเมืองส่งมาถึงระยะไหนในเขตอรัญประเทศและจะนำเสากระจายสัญญาณระยะสั้นมาติดให้ตามชุมชนเพื่อลดปัญหาชั่วคราว ก่อนพิจารณาติดตั้งเสาสัญญาณใหม่ในจุดที่ห่างจากเขตชายแดน
จากการข่าวมีรายงานว่าจุด ส่งสัญญาณดังกล่าวเป็นจุดที่ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ใช้สัญญาณจากจุดนี้อีกด้วย
Advertisement