พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ ได้รับแจ้งจากทางพ่อแม่ของเด็กหนุ่มได้ถูกอุ้มไปที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งทางพ่อแม่มาขอร้องให้ตำรวจช่วย โดยมีค่ายมือถือดัง โทรศัพท์มาหาผู้เสียหาย และอ้างว่าผู้เสียหายไปพัวพันกับแก๊งฟอกเงิน และให้ไปแสดงตัวที่ สภ.แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ แต่เนื่องจากผู้เสียหายไม่สะดวกเดินทางไป จึงมีบังคับให้ผู้เสียหายเปิดโรงแรมในพื้นที่วังทองหลาง และวิดีโอคอลกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลากินข้าว โดยมีการหลอกต่อเนื่อง 7 วัน
นอกจากนั้นยังให้ผู้เสียหายโอนเงิน 3 รอบ รวมกันจำนวน 150,000 บาท โดยในระหว่างนั้น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้ให้ผู้เสียหายคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปปง. และเจ้าหน้าที่ธุรกรรมบัญชี ซึ่งหลังจากหลอกเด็กจนเงินหมดแล้ว ก็ได้ให้เด็กไปหลอกพ่อแม่ ว่าจะนำเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ และใช้เป็นเงินค้ำประกัน 500,000 บาท ทางด้านของครอบครัวผู้เสียหาย ได้มีการโอนเงินเข้าบัญชีของลูกชาย จากนั้นผู้เสียหาย ก็โอนต่อไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์
หลังจากหมดมุขคำโกหกในเรื่องของการเรียนต่อต่างประเทศแล้ว ก็ได้ให้ผู้เสียหายหลอกพ่อแม่ว่าโดนอุ้ม และจะโดนทำร้ายร่างกาย รวมถึงนำไปขายที่ต่างประเทศ พร้อมทั้งข่มขู่พ่อแม่ของผู้เสียหายว่าถ้าไม่อยากให้ลูกโดนนำไปขายต่างประเทศ ให้โอนเงินมา 150,000 บาท
แต่พ่อแม่ของผู้เสียหายกลับรู้สึกแปลกใจ จึงได้เดินทางมาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.วังทองหลาง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เริ่มปฏิบัติการในการค้นหาผู้เสียหายทันที ซึ่งในช่วงแรกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปค้นหาก็พยายามเจาะไปตามโรงแรมต่างๆ ในพื้นที่วังทองหลาง เนื่องจากผู้เสียหายไม่ยอมบอกพิกัดที่อยู่
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงห้องพักที่ผู้เสียหายนั้น เจ้าตัวก็ยังคงพูดคุยอยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตลอดเวลา และยังอยู่ในอาการหวาดกลัว
ด้านของ พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ยังฝากบอกอีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่มีการวิดีโอคอลมาพูดคุยกับผู้เสียหาย ถ้าหากเกิดเหตุในลักษณะนี้เกิดขึ้นให้คิดเอาไว้ก่อนว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างแน่นอน
Advertisement