เมื่อเวลา 09.09 น. วันที่ 24 ก.พ. 68 ที่ท่าเรือพิบูลสงคราม1 นาย มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ นำอาหารคาวหวานมาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ น.ส.ภัทรธิดา หรือ นิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม นิดา ภายหลังเสียชีวิตครบ 3 ปีว่า
ตอนแรกตนไม่มีอะไรจะไปให้ดีเอสไอ แต่ว่าตอนหลังก็มี ซึ่งตนก็ไม่ได้คาดคิด เพราะผ่านมา 3 ปีแล้ว ก็ไม่คิดว่ากล้องวงจรปิดจะเก็บไว้ แต่ก็มีการเก็บไว้ ซึ่งเป็นหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิดที่นำไปให้กับดีเอสไอในครั้งล่าสุดที่ผ่านมา
นาย มงคลกิตติ์ กล่าวว่า วันนี้ตนนำน้ำดื่ม น้ำแดง ขนมจีนน้ำยา แกงเขียวหวาน ขนมไทยห่อใบตอง ซึ่งแม่ของแตงโมบอกว่าเป็นของชอบแตงโม และยังมีแกงส้มผักรวม ซึ่งจริงๆ แล้ว แตงโมมาสื่อและขอส่วนบุญกับคนที่ตนรู้จัก บอกว่าถ้ามาทำบุญให้เขาขอให้จัดเมนูตามนี้ อยากกินแกงส้มหน่อไม้ดองของภาคใต้แต่ตนหามา 2-3 ตลาดไม่มี จึงเป็นแกงส้มผักรวมแทน
ซึ่งวันที่ 1 ก.พ. 68 วิญญาณแตงโมได้มาหาตน เหมือนปลุกให้ตื่น ให้มาดูกล้องวงจรปิด ซึ่งตนก็ขี้เกียจดู เพราะภาระงานเยอะ แต่ไม่ได้ ตนต้องตื่น ตอนนั้นแตงโมก็ดูไม่ค่อยสดใส ดูเครียด
เมื่อถามว่า นอกจากอาหารแล้ว แตงโมมาสื่อถึงอย่างอื่นด้วยหรือไม่ เช่นเรื่องความยุติธรรม นาย มงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตนคิดแตงโมคงไม่มีแรงขนาดนั้น เพราะการที่วิญญาณจะสามารถสื่อสารได้ขนาดนี้ ต้องมีคนทำบุญหนักๆ เช่น ทอดกฐินกองใหญ่ใหญ่ สร้างพระอุโบสถ ซึ่งต้องใช้เงินหลายล้าน และตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการหาความยุติธรรมอยู่ วิญญาณคงยังทำอะไรไม่ได้มาก อย่างมากก็ไปหาคนที่เขารัก แต่ก็เป็นในรูปของเสียงและความฝัน ซึ่งต้องเป็นคนเขารักเท่านั้น ส่วนการทำบุญแบบนี้เป็นการทำบุญให้กินแค่มื้อเดียว แต่การทำบุญใหญ่ต้องทอดผ้าป่า ทอดกฐิน สร้างอุโบสถ สร้างกุฎิอะไรแบบนั้น ส่วนที่แตงโมมาสื่อสารผ่านตนนั้น ก็คิดว่าตนน่าจะมีความหวังดีที่ทำให้เขา เราไม่ใช่ญาติเขา
นาย มงคลกิตติ์ กล่าวว่า ส่วนที่เลือกมาทำบุญอาหารคาวหวานให้แตงโม และเลือกมาในช่วงเวลา 9 โมง 9 นาทีนั้น เพราะอยากให้คดีก้าวหน้า ไม่ให้จบแบบคลุมเครือ ให้มันดีขึ้น ซึ่งก็มีหลายคนช่วยกันอยู่ โดยส่วนใหญ่ก็ตั้งใจช่วยกัน เพียงแต่ว่าอาจจะผิดถูกบ้างก็ให้อภัยกันไป ส่วนเรื่องกรณีโทรศัพท์มือถือ และผ้าสีขาวนั้น ตามหลักการ สามารถตรวจเช็กได้ที่ไปรษณีย์ เพราะมีข้อมูลทางราชการเก็บไว้อยู่ว่าใครเป็นคนส่งไปให้บังแจ็ค
ส่วนที่มีการอ้างว่ามีคนของตนโทรศัพท์หาบังแจ็ค เพื่อพูดคุยเรื่องโทรศัพท์มือถือ และเรื่องของผ้าขาวของแตงโมนั้น ตนไม่ทราบ ซึ่งก็ต้องไปดูหลักฐานการส่งสิ่งของเหล่านั้นหาไปบังแจ็ค ส่วนพูดคุยอาจจะเป็นเรื่องการประสานงานกันก็ได้ ตนก็ไม่ทราบว่าเรื่องไหน เพราะฉะนั้นหลักการจริงๆ คือต้องดูตอนส่งว่าใครเป็นคนส่งไปให้บังแจ็ค จุดนี้เป็นพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถตรวจสอบได้ เรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จก็สามารถตรวจสอบได้ทุกอย่าง
ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พาดพิงว่ามีการเรียกรับเงิน เรื่องคดีของแตงโม นาย มงคลกิตติ์ กล่าวว่า ไม่เคยมี มีแต่ถูกกล่าวหามากกว่า และมีคนพูดไปมาว่า 1.5 ล้านบ้าง อะไรบ้างให้เลิกยุ่งคดีก็เป็นการพูดคุยกัน เป็นการโต้เถียงกัน แต่โดยส่วนใหญ่คนที่มาขอคดีก็เป็นพวกรัฐมนตรีที่ไม่อยากให้เรายุ่งแค่นั้น ก็ส่งคนไปร้องเรียนให้เลิกยุ่ง แต่ส่วนเรื่องเงินนั้นมันไม่มีตัวเลขให้เห็น มีแต่คำพูด ใครจะพูดอะไรก็พูดได้อยู่ที่การกระทำมากกว่า
อย่างไรก็ตามตอนนี้ตนก็ยังเชื่ออยู่ว่าแตงโมไม่ได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ตนยังเชื่อเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความคิด ถ้าเปลี่ยนแปลงความคิดก็ต้องบอกว่าตกท้ายเรือ แต่ตนก็ไม่ได้เป็นความคิด
ส่วนเรื่องคดีนั้นคุณแม่ก็ไปถอนฟ้องเอง เพราะตามกฎหมายผู้เสียหายในคดีอาญาของผู้เสียชีวิตจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง เป็นดุลพินิจของแม่แตงโม คนอื่นเป็นแค่คนช่วยแล้วตนยืนยันว่า ตนไม่เคยหวังร้ายกับนายอัจฉริยะ เพียงแต่อาจเข้าใจผิดกันได้ ซึ่งหากเวลาผ่านไปความจริงก็จะปรากฏว่าอะไรเป็นอะไร
อย่างไรก็ตามถ้าจะให้วิญญาณแตงโมเวลาไปเจอใคร ใส่ชุดสวยงาม หน้าตายิ้มแย้มก็ต้องทำบุญกฐินใหญ่ ถ้าทำได้ต้องทำที่วัดค้างคาว เพราะศพแตงโมขึ้นที่หน้าวัดค้างคาว ซึ่งเป็นวัดที่ตนมาจุดธูปบอกขอให้เจอศพ จากนั้น 40 นาทีศพก็ขึ้น ก่อนที่เสี่ยสมพงษ์จะไปลากมา วันนี้เป็นวันครบรอบสามปีเมื่อเช้าก็ทำบุญใส่บาตรด้วย อย่างไรก็ตามหากตนทำงานได้เงินมา 1-3 ล้านบาท ก็จะไปทอดกฐินที่วัดค้างคาวโดยเป็นเจ้าภาพเอง เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับหลวงพ่อเก้า และน้องแตงโม เพื่อพระปฏิสังขรณ์อุโบสถ และทำนุบำรุงศาสนาที่วัดค้างคาว เพื่อแบ่งบุญกันระหว่างหลวงพ่อเก้ากับน้องแตงโม เพื่อให้เป็นบุญใหญ่
เมื่อถามว่า คิดว่าคดีนี้จะหาตัวผู้กระทำความผิด หรือมีแต่คนติดคุกบ้างหรือไม่ นาย มงคลกิตติ์ กล่าวว่า ต้องดูคดีแรกก่อน ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้พิพากษาว่าตัดสินอย่างไร ส่วนคดีใหม่ต้องรู้ว่าทางเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ หากรับเป็นคดีพิเศษก็เชื่อว่าจะหาคนผิดได้ ซึ่งอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน
เมื่อถามว่า แม่แตงโมได้ปรึกษาบ้างหรือไม่ว่าจะไปให้ข้อมูลกับดีเอสไอดีไหม นาย มงคลกิตติ์ กล่าวว่า เขามาปรึกษาตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตนแนะนำให้ไปดีเอสไอ เพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ มีอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งแม่ก็ยังมีความเชื่อเหมือนเดิมว่าเป็นการฆาตกรรม เพียงแต่ว่าถ้ามีพวกน้อยแกก็ไม่กล้าพูด แต่ถ้ามีพวกเยอะแกก็กล้าพูด แม่ไม่ได้กลับไปกลับมาแต่เกิดความกลัวในตัวเองว่าอาจถูกฟ้อง ซึ่งแม่ก็ไม่ได้มีเงิน มาสู้รบกับคนรวยได้มากเท่าไหร่
เมื่อถามว่า หากแตงโมอยู่แถวนี้ อยากจะบอกอะไรกับแตงโมหรือไม่ นาย มงคลกิตติ์ กล่าวว่า ทุกคนก็ช่วยกันอยู่ ทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทีมบ้านพระอาทิตย์ หลายคนก็ช่วยกันอยู่ ตนก็เอาใจช่วย เพราะช่วยกันไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีหลักฐานอะไรแล้ว เพราะหลักฐานให้ดีเอสไอไปหมดแล้ว
Advertisement