พล.ต.ต.เจษฎา สวยสม ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 เปิดเผยความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนคดีการเสียชีวิต ของพ.ต.อ.ธิติสรรค อุทธนผล หรือ "อดีตผู้กำกับโจ้" ว่า เบื้องต้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้ไปร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรม และได้เร่งรัดให้สอบสวนปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องภายในเรือนจำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้คุมแดน 5 และแดน 7 , ผู้แล, แพทย์ , เจ้าหน้าเวชระเบียน , ผู้ต้องขังที่เห็นเหตุการณ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยได้มีการสอบปากคำพยานไปแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังห้องใกล้เคียง
นอกจากนี้ ยังได้ยกเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดต้นฉบับทั้งหมดของเรือนจำ ไม่เฉพาะวันเกิดเหตุ ซึ่งแพ็คเรียบร้อยอยู่ในสภาพเดิมที่กรมราชทัณฑ์ส่งมา ไปให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบว่ามีการแก้ไขดัดแปลง ตัดต่อกล้องวงจรปิดหรือไม่
ส่วนกรณีคราบเลือดต้องสงสัยบนพื้นห้องขัง "อดีตผู้กำกับโจ้" นั้น เจ้าหน้าที่ได้เปรียบเทียบกล้องวงจรปิด ภาพนิ่งก่อนและหลังการชันสูตรพลิกศพ "อดีตผู้กำกับโจ้" แล้ว พบว่าเป็นคราบเลือดที่เกิดจากการพลิกร่างขณะชันสูตรเบื้องต้น เนื่องจากก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจศพ ไม่พบคราบเลือด และมาพบหลังชันสูตรแล้ว ซึ่งตรวจสอบแล้ว ไม่ใช่เลือดสด แต่เป็นของเหลวที่ไหลออกมาหลังการเสียชีวิต จากบาดแผลสัตว์กัดแทะ และไปเปื้อนพื้นห้องขัง
ส่วนประเด็นที่สังคมสนใจ ว่า "อดีตผู้กำกับโจ้" มีปากเสียงหลังพูดคุยกับครอบครัวที่เข้าไปเยี่ยม จนอาจเป็นแรงกดดันให้จบชีวิตตนเองหรือไม่นั้น เบื้องต้นจากการสอบปากคำพยาน ในขณะนี้ยังไม่พบความขัดแย้ง หรือปัญหาครอบครัว อย่างไรก็ตามจะต้องรอรายงานผลสอบปากคำพยานทั้งหมด รวมถึงผลการตรวจสอบกล้องวงจรปิดก่อน ส่วนคลิปบันทึกการสนทนาระหว่างเยี่ยมญาตินั้น ทางตำรวจได้ประสานเรื่องขอคลิปดังกล่าวจากเรือนจำไปแล้ว ซึ่งถือเป็นวัตถุพยานที่จะต้องนำมาตรวจสอบทั้งหมด
ทั้งนี้จะต้องมีการเข้าไปจำลองเหตุภายในเรือนจำด้วย โดยต้องให้ศพเล่าเรื่อง เพราะหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ไม่โกหก ซึ่งสำนวนการชันสูตรพลิกศพ ภายใน 30 วัน จะต้องมีความชัดเจนว่าสาเหตุการณ์เสียชีวิตเกิดจากอะไร หรือใครทำให้ตาย และจะต้องดูเจตนาผลกระทบที่อาจส่งผลต่อการเสียชีวิตด้วย ซึ่งทางตำรวจก็มีการติดตามกระแสข่าวและข้อสงสัยต่างๆ ที่ปรากฎในโซเชียลมีเดียอยู่ตลอด โดยยืนยันว่าตำรวจสืบสวนในทุกประเด็นมากกว่าที่สังคมสงสัยแน่นอน
นอกจากนี้พลตำรวจตรีเจษฎา ยังยืนยันด้วยว่า ความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ นั้น แม้ว่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย แต่หากถูกกดดันจากภายนอก ลดคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กระทบสิทธิเสรีภาพของบุคคล ก็เข้าข่ายความผิดแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องลงมือทำร้ายร่างกาย ส่วนการแจ้งข้อหานั้นเป็นเรื่องของอัยการหรือคณะอนุกรรมการกลั่นกรองข้อเท็จจริงกรณีการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
Advertisement