วันที่ 22 มีนาคม 68 จากกรณีมีการพบศพของนางสาวปิยะวรรณ อายุ 23 ปี หรือ แอน บ้านอยู่หมู่ 1 ต.บางระกำ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ถูกฆ่าแล้วหั่นศพฝังดินไว้หลังบ้านเลขที่ 38 หมู่ 5 ต.ดอนรวก อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ที่นางสาวภัทราภรณ์ อายุ 21 ปี หรือ มิ้ลค์ พักอาศัยอยู่กับนายณรงค์ชัย หรือ เลย์ อายุ 26 ปี สามี หลังจากญาติได้มีการแจ้งความคนหายไว้เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 68 ที่ผ่านมา โดยมีเบาะแสว่าจะมาทวงหนี้ที่บ้านของนางสาวภัทราภรณ์ โดยเชื่อว่าถูกหลอกให้โอนเงินเป็นค่าฝากเข้าทำงานที่โรงพยาบาลนครปฐมหลายครั้ง แต่ไม่สามารถฝากเข้างานได้และหายตัวไป อีกทั้งพ่อผู้ตายยังฝันว่าลูกสาวมาหา บอกว่าตายแล้ว ถูกนายณรงค์ชัย ฆ่าฝังไว้หลังบ้าน ก่อนจะมาพบเป็นศพในวันนี้
โดยทั้งนางสาวภัทราภรณ์และนายณรงค์ชัย ได้ถูกจับกุมตัว หลังจากหนีไปกบดานที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันนี้ โดยสารภาพว่ามีการฆ่าหันศพฝังดินและมีการนำชิ้นส่วนต่างๆไปโยนทิ้งที่คลองชลประทาน ในพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างอำเภอเมืองนครปฐม และอำเภอดอนตูม ห่างจากบ้านที่พบอวัยวะส่วนแรกประมาณ 300 เมตร
โดยช่วงบ่ายเมื่อชาวบ้านได้ทราบข่าวได้มีการรวมตัวมาที่บริเวณคลองชลประทาน ในพื้นที่ตำบลทุ่งน้อย อำเภอเมืองนครปฐม ซึ่งมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐม ได้นำนักประดาน้ำลงทำการดำน้ำ เพื่อค้นหาอวัยวะที่ทั้งสองคนได้สารภาพว่ามีการนำมาโยนทิ้งเพื่ออำพราง และติดตามจาก GPS ของโทรศัพท์จากผู้ต้องหา ที่มีการวิ่งไปยังถนนเส้นต่างๆ
โดยเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจและพูดถึง โดยเฉพาะผู้ต้องหาฝ่ายหญิง ซึ่งมีพฤติกรรมเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในเรื่องการใช้เงินและลักทรัพย์ รวมถึงการหลอกลวงเงินจากชาวบ้านและญาติของตัวเอง โดยตั้งแต่ช่วงบ่ายกระทั่งถึงช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เจ้าหน้าที่ได้ดำน้ำค้นหาอวัยวะจากคลองชลประทานและบริเวณในจุดต่างๆระยะทางรวมกว่า 3 กิโลเมตร ซึ่งตลอดทั้งวันก็ยังไม่พบอวัยวะอื่นหรือสิ่งผิดปกติตามที่ได้ข้อมูลมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและได้มีการยุติการค้นหาในช่วงหัวค่ำ
ด้านพี่สาวของผู้ตาย เปิดเผยว่าตนเองเป็นคนที่อยู่กับผู้ตายเป็นคนสุดท้าย เจอล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ซึ่งผู้ตายออกจากบ้านเวลา 16.00 น.จากบ้านพักในพื้นที่อำเภอนครชัยศรี โดยบอกว่าจะมาทวงเงินจากนางสาวภัทราภรณ์ ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุ โดยฝากให้ดูแลลูกแล้วจะกลับมา เนื่องจากจะไปทวงเงินจากนางสาวภัทราภรณ์ และยังบ่นอีกว่าหากวันนี้ทวงเงินไม่ได้จะมาด่าให้แตกหัก เพราะถูกหลอกให้โอนครั้งละ 2,000 บาทถึง 5,000 บาท แล้วถูกหลอกลวงว่าจะฝากงานให้ทำที่โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม โอนแล้วโอนอีกจนไม่มีเงิน งานก็ไม่ได้ทำ จึงเกิดความโกรธโมโห จึงจะมาเอาเรื่องนางสาวภัทราภรณ์ให้รู้ว่าจะได้เงินคืนหรือไม่ หลังจากนั้นได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
โดยในระหว่างที่หายตัวไปนานกว่า 10 วัน แต่แชตของผู้ตายนั้นสามารถพูดคุยติดต่อได้ปกติกับทางญาติ ซึ่งเป็นที่น่าผิดสังเกตว่าไม่ยอม videocall หรือโทรศัพท์กลับมา และยังไม่เดินทางกลับบ้าน สามีของผู้ตายจึงได้ใช้แชตติดต่อกัน แบบพบว่ามีพิรุธกับถ้อยคำ คำพูดจา ที่ติดต่อกันทางแชตที่มีความผิดปกติ
ต่อมาสามีผู้ตายได้ไปแจ้งความคนหายที่ สภ.นครชัยศรี โดยสามีของผู้ตายสงสัยว่านายณรงค์ชัย หรือ เลย์และนางสาวภัทราภรณ์ จะเป็นหนึ่งในการหายตัวไป เบื้องต้นพบว่าได้ทำการหลอกลวงการโอนเงิน จึงได้ออกหมายจับทั้งสองคนในคดีฉ้อโกงทรัพย์ และเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนได้ทำการฆาตกรรมผู้เสียชีวิตแล้วหลบหนีไป
และภายหลังจากแจ้งความคนหายไว้ที่ สภ.นครชัยศรีเพียง 2 วันต่อมา นางสาวปิยะวรรณ หรือแอน ผู้ตายได้ไปเข้าฝันพ่อว่า ตายแล้ว เลย์ฆ่าฝังดินอยู่ที่หลังบ้าน จึงได้นำความฝันมาเล่าให้กับญาติพี่น้องฟัง ก่อนจะไปแจ้งความที่สภ.นครชัยศรี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.นครชัยศรีได้ระดมกำลังมาทำการขุดค้นหา แต่ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามไล่ล่าผู้ก่อเหตุ ซึ่งจับสัญญาณจากโทรศัพท์ทราบว่าหลบหนีไปไกลถึงจังหวัดเชียงให ม่และจับกุมได้เมื่อ 22 มีนาคม2568 ช่วงเช้าที่ผ่านมาที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงทำการสืบสวนขยายผลและได้รับสารภาพว่าร่วมกันฆ่าน.ส.ปิยะวรรณ แล้วทำการเผาและฝังศพไว้ที่หลังบ้าน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสาเหตุที่ถูกฆ่าสันนิษฐานว่าลูกหนี้อาจโกรธแค้น เนื่องจากเจ้าหนี้นั้นปกติแล้วเป็นคนที่ปากจัด ซึ่งญาติต่างยืนยันว่าเป็นคนที่ปากร้ายและเป็นคนถึงลูกถึงคน ซึ่งน่าจะแค้นที่โดนหลอกเงินไป ซึ่งตอนนี้จากการให้การทางฝ่ายหญิงบอกว่าคนที่ลงมือก่อเหตุเป็นฝ่ายสามีของตนเอง แต่ทางสามีได้ยันว่าได้ร่วมกันฆ่า โดยได้นำอวัยวะไปฝังไว้หลังบ้าน และมีการแยกชิ้นส่วนไปทิ้งยังคลองชลประทานในพื้นที่ ตอนนี้ได้มีการส่งทีมติดตามหาอวัยวะเพิ่มเติมแล้ว
จากการสอบถาม น.ส.แวว (นามสมมติ) อายุ 25 ปี ญาติของน.ส.ภัทราภรณ์ ผู้ต้องหา เปิดเผยว่า ทั้งสองคนมาอาศัยอยู่ที่บ้านซึ่งเป็นบ้านพ่อและเป็นจุดที่พบอวัยวะแห่งแรก ส่วนผู้เสียชีวิตเป็นคนในพื้นที่ อ.นครชัยศรี ได้ติดตามมาทวงเงินจากการที่ทั้งคู่ไปหลอกว่าสามารถนำเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งได้ และมีการโอนเงินให้หลายครั้ง กระทั่งผู้เสียชีวิตตามมาทวงเงินที่บ้านและหายตัวไป และมาพบศพในวันนี้ โดยชาวบ้านหลายคนก็รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
สำหรับตน ทราบข้อมูลจากญาติว่าน.ส.ภัทราภรณ์ มีพฤติกรรมที่สุดแสบหลายอย่าง เช่น การลักเล็กขโมยน้อยบ่อยครั้ง โดยมีการลักขโมยของที่โรงพยาบาลแหงหนึ่งในช่วงที่เป็นลูกจ้าง การลักไก่ชาวบ้าน และมีอีกหลายเรื่องซึ่งแต่ละเรื่องก็ได้มีการตกลงยอมความกัน แต่คดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่อุกฉกรรจ์ที่สุดเท่าที่เคยก่อวีรกรรมมา
“ขนาดย่าของเขาเองก็ยังเพิ่งโดนหลอก ให้ไปเอาเงิน 10,000 บาทที่ได้จากรัฐบาล โดยหลอกว่าไปทำถังสีของแฟนหกเสียหายและปลอมเฟซบุ๊กไปเป็นคนอื่น บอกญาติให้ไปรับเงินที่บ้าน โดยมีการปิดไฟไม่ให้เห็นว่าใครเป็นคนรับ เนื่องจากหากคนในบ้านรู้ ก็จะไม่มีทางให้เงินแน่นอน”
พฤติกรรมเหล่านี้เป็นที่ระอาและเป็นที่รู้กันของชาวบ้านถึงความแสบของฝ่ายหญิงและสามี ซึ่งตอนนี้เรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่โด่งดังมากในพื้นที่ โดยหลายคนบอกว่ารับไม่ได้เช่นกันกับความโหดเหี้ยมของคนทั้งคู่
ด้านพ่อของน.ส.ภัทราภรณ์ เล่าว่า เพิ่งจะทราบเรื่องเมื่อตอนที่ตำรวจมาที่บ้าน และมารับตัวทั้งคู่ไปสอบปากคำมาครั้งหนึ่งแล้วนำกลับมาส่ง จากนั้นก็มีการมารับไปอีก ก่อนที่ทั้งลูกสาวและแฟนของเขาจะออกจากบ้านไป และมีตำรวจกลับมาที่บ้าน โดยมีการไปขุดจนพบศพ ซึ่งตนไม่ทราบมาจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ซึ่งในทางคดีก็ต้องยอมรับว่าใครก่ออะไรไว้ก็ต้องรับสิ่งที่ได้ทำไปตามกระบวนการกฎหมาย และที่ผ่านมาตนไม่เคยทราบพฤติกรรม เพราะทั้งคู่จะไปอยู่ที่บ้านด้านหลัง จะเข้า-ออกหรือจะทำอะไรก็ไม่เคยมาปรึกษา
ส่วนผู้ตายก็เพิ่งเคยเห็นมาวันที่เขามาที่บ้านแล้วก็ไม่เห็นอีกเลย ตอนนี้มีความเครียด เพราะกลัวชาวบ้านจะไม่เข้าใจ หาว่าเราเป็นคนไม่ดี เรื่องนี้ต้องบอกว่าเราเลี้ยงเขาได้แต่ตัว แต่ไม่สามารถเข้าไปถึงความคิดของเขาได้
ตอนนี้อยากขอโทษญาติของผู้สูญเสีย เพราะเราไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะทำใจอย่างไร เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วแล้วก็ยังงงอยู่ว่าทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่ได้ขนาดนี้ ส่วนตัวคิดว่าคนก่อเหตุก็ต้องติดคุกไปตามที่เขาทำ แต่คนที่จะลำบากก็คือคนที่ต้องอยู่ในชุมชนนี้ อยากจะย้ายบ้านหนีออกไปให้พ้นซะที.
Advertisement