เมื่อเวลา 14.30 น.ที่ผ่านมา (25 มีนาคม 2568) นายโอ๊ต-มนัส บอดี้การ์ดที่ดิว อริสรา ส่งมาคุ้มกันเงินและอยู่ในเหตุการณ์แลกธนบัตรดอลลาร์ปลอม ลงมาเปิดเผยกับสื่อมวลชนหลังจากให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา นานกว่า 4 ชั่วโมง ว่า ในวันนี้ตนมาแสดงความบริสุทธิ์ใจและชี้แจงกับพนักงานสอบสวนว่า ทั้งตนและดิว อริสรา ไม่มีเจตนากระทำความผิดเรื่องกักขังหน่วงเหนี่ยวและรีดไถทรัพย์แต่อย่างใด โดยได้มอบหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดและคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องที่ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้ให้กับทางพนักงานสอบสวน
พร้อมทั้งให้ข้อมูลชี้แจงกับทางตำรวจยืนยันว่า ตนได้รับมอบหมายจากดิว-อริสรา ให้มาปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องการคุ้มกันเงินที่จะนำมาลงทุนทางธุรกิจและปกป้องความปลอดภัยของทุกคนระหว่างทำธุรกิจ โดยในเรื่องการปกป้องความปลอดภัย แมนเป็นคนร้องขอตนด้วยซ้ำ ซึ่งส่วนตัวตนก็ไม่ทราบเรื่องธุรกิจว่ามีการตกลงกันเรื่องอะไร
แต่เมื่อดีลธุรกิจล้มเหลว แต่ละคนก็ตกลงที่จะอยู่ร่วมกันเพื่อหาทางชดใช้หนี้ โดยที่ตนก็อยู่ด้วยเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยและเพื่อยืนยันได้ว่าคุณดิว อริสราจะได้เงินครบ ซึ่งในช่วงระหว่างที่อยู่ที่โรงแรม ไม่มีลักษณะพฤติการณ์กักขังหน่วงเหนี่ยวแต่อย่างใด ทุกคนใช้ชีวิตกันตามปกติ ตั้งแต่ลงมารับประทานอาหาร ซื้อเสื้อผ้า รวมทั้งจัดปาร์ตี้ภายในห้อง โดยไม่มีการเฝ้าจับตาพฤติกรรมของแต่ละคนแต่อย่างใด ซึ่งตนเองก็ปรากฏในคลิปเห็นได้ชัดว่า อยู่อย่างมีความสุข ไม่ได้มีการกักขังแต่อย่างใด
แม้กระทั่งในวันสุดท้าย ทุกคนก็ได้ตกลงกันก่อนออกจากโรงแรมว่าจะหาเงินใช้หนี้ร่วมกัน ก่อนที่จะไปชี้แจงและพบกับพนักงานสอบสวน เนื่องจากตอนนั้นพ่อของเกดได้แจ้งความให้ตำรวจมาที่โรงแรม แต่สุดท้ายเป็นฝั่งเกดเองที่ยืนยันว่าไม่ติดใจและเป็นเรื่องเข้าใจผิด ทั้งตำรวจก็เลยปล่อยตัวทุกคนไป ไม่ใช่เป็นการที่มีผู้ใหญ่มาคุยคดีตามที่มีรายงานข่าว
ทั้งนี้ ตนก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเกดต้องออกมาพูดเรื่อง กักขังหน่วงเหนี่ยว เพราะทุกคนสมัครใจที่จะมาอยู่ร่วมกันเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องเงิน มองว่าถ้าหากว่าพวกตนกักขังหน่วงเหนี่ยวจริง ก็ควรจะต้องเอาผิดตั้งแต่แรก อีกทั้งยังมองว่า ตัวเกดเองก็มีพฤติกรรมที่แปลก มักจะพูดกลับไปกลับมาจนอธิบายไม่ถูก
ขณะที่สิ่งที่เกดอ้างว่า ถูกขังเพื่อเรียกเอาเงินคนเดียว 4 ล้านบาท เมื่อออกมาก็ต้องนอนโรงพยาบาลแล้วมีอาการแพนิค ตนตั้งข้อสงสัยว่า แล้วคนที่เหลือทำไมถึงไม่มีอาการอะไรเลย รวมทั้งเรื่องเงินนั้น แต่ละคนก็ตกลงกันแล้วว่าจะชดใช้คนละประมาณหลักแสนบาท เพื่อรวมให้ได้ประมาณ 3.2 ล้านบาท ซึ่งแต่ละคนตนก็จำไม่ได้ว่าใครจ่ายเท่าไหร่ แต่จำได้ว่าเท็ดดี้จ่ายเยอะที่สุดคือ 800,000 บาท ดังนั้นจึงมองว่า สิ่งที่เกดพูดนั้นเป็นเรื่อง "โกหก"
สำหรับประเด็นที่ตนมีเรื่องกับชิน จนชินถูกชกต่อยเข้าที่เบ้าตานั้น โอ๊ตยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องทะเลาะส่วนตัว ไม่ใช่เป็นการทะเลาะกันเพราะเรื่องธุรกิจแต่อย่างใด เพราะเนื่องจากชินพูดจาไม่เข้าหู โดยชินพูดกับตนเองว่า "จะหาเงินยังไงก็เรื่องของผม" และต่างฝ่ายต่างโมโห จนเกิดการชกต่อยกัน สุดท้ายเมื่อทั้งคู่ใจเย็นลงก็ต่างขอโทษขอโพยและไม่ติดใจเอาความ
นายโอ๊ตยืนยันว่า เรื่องธุรกิจที่มีการดีลเรื่องเงินนั้น ตนไม่ทราบรายละเอียดเลย เพราะไม่ใช่หน้าที่ของตน รวมทั้งเรื่องเผาเงินปลอม ตนก็เพิ่งมาทราบในภายหลัง ไม่รู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก
ทั้งนี้ การที่ตนถูกกล่าวหาว่ากักขังหน่วงเหนี่ยวนั้น สร้างความเสียหายแก่หน้าที่การงานของตนเองเป็นอย่างมาก จนเกิดความทุกข์ใจและได้รับแรงกดดันจากสังคม ในวันนี้หลังจากที่ตนให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ก็ได้แจ้งความกลับไปยังเกดในข้อหา "แจ้งความเท็จอันเป็นการกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษ ทางอาญา" และ "หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา" แต่อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งดิวยังไม่ได้มอบอำนาจหรือแจ้งเจตจำนงว่าจะแจ้งความดำเนินคดีกับเกด เพราะเมื่อวาน ตนแค่รายงานให้ดิวทราบว่า วันนี้จะมาพบพนักงานสอบสวน ดิวก็ตอบกับตนเพียงแค่ว่า "จ้า" และเบื้องต้นเท่าที่คุย ดิวยังไม่มีแผนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย
พร้อมกันนี้ โอ๊ตยังได้ขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้โอกาสตนได้พูดชี้แจงข้อเท็จจริงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งฝากชี้แจงถึงกรณีที่ตนเคยถูกดำเนินคดีเก่าว่า ทั้ง 2 คดีได้จบไปนานแล้ว ไม่ได้เป็นการถูกออกหมายจับ
โดยในส่วนคดีฉ้อโกงท้องที่ สน.ดุสิต นั้น เบื้องต้นพบว่าเป็นความผิดพลาด เนื่องจากผู้ก่อเหตุในคดีนั้นมีชื่อและนามสกุลเดียวกันกับตน แต่เลขบัตรประชาชนเป็นคนละเลขกัน ซึ่งเรื่องดังกล่าวตนได้ไปชี้แจงกับตำรวจ สน.ดุสิตแล้ว คดีดังกล่าวจึงได้จบไปและหลังจากนี้ ตนจะไปเดินเรื่องที่กองทะเบียนประวัติอาชญากรให้ลบประวัติคดีดังกล่าว
ส่วนประเด็นเรื่องยาเสพติดนั้น ตนยอมรับว่าตนทำผิดเรื่องดังกล่าวจริง เป็นการครอบครองยาเสพติดในปริมาณที่เล็กน้อยมาก ซึ่งเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาแล้วและเป็นบทเรียนให้กับตนเอง โดยเน้นย้ำว่าตนเองไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับคดีเรื่องของเงินปลอมอย่างไร
Advertisement