วันนี้ (8เม.ย.68) นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ หรือ อัพ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย อดีตหัวหน้างานของไฮโซเก๊ หรือ “นายฮอต” ได้ให้สัมภาษณ์ หลังจากมีโอกาสร่วมงานกันและพบว่าอีกฝ่ายพยายามจะฉ้อโกง
นายพชรพรรษ์ กล่าวว่า ตนรู้จักกับนายฮอต เมื่อปลายปี 2556 ในงานประชุมหนึ่ง เขาพยายามแสดงตัวว่ามีความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับงานที่ตนกำลังทำ ตนจึงเกิดความเชื่อใจไว้ใจในการที่ให้เค้าเข้ามามีส่วนร่วมทำงานกับสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทยและแต่งตั้งเป็นคณะผู้บริหารเมื่อ พ.ค. 2557 แต่ต่อมา ต.ค. 2567 ตนได้ไล่เขาออกเลย เพราะเขามีพฤติกรรมที่ไม่ตรงปกหลายเรื่อง
โดยตนเริ่มเอ๊ะใจ เพราะนายฮอต เริ่มขอเบิกงบจากสถาบัน ซึ่งสถาบันของเราตอนปี 2557 ได้รับการสนับสนุนจากรัฐน้อยมาก เพราะเป็นหน่วยงานขนาดเล็กมาก เป็นการรวมกลุ่มของภาคประชาสังคมเล็กๆ ซึ่งขั้นตอนการเบิกผิด ไม่ถูกต้อง เราจึงชะลอการเบิกจ่าย หลังจากนั้นเขาพยายามออกจากกลุ่ม และไปตั้งกลุ่มอิสระกลุ่มหนึ่ง เรียกรับเงินบริจาคจากอธิการบดี และมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน ซึ่ง ยังแอบอ้างสถาบันยุวธรรมแห่งประเทศไทยด้วย
ขณะเดียวกันช่วงนั้น เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่เชียงราย มีสะพานถล่มเขาก็อ้างว่าจะนำเงินไปช่วยเหลือปรากฏว่า เขาเอาของจาก ปภ. ท้องถิ่น เทศบาล และเอา ไปช่วยเหลือจริง แต่ไม่ได้เอาเงินไปช่วยเหลือ ทำให้ตนตัดสินใจไล่ออกทันที
ขณะนั้น ยังไม่ได้แจ้งความดำเนินคดี เนื่องจากการกระทำผิดยังไม่สำเร็จ แต่เราป้องกันได้ก่อน
จากนั้นกองปราบปราม ได้เข้ามาดำเนินคดีนายฮอต คดีอื่น คือ คดี ฉ้อโกงคดีอสังหาริมทรัพย์ โดยเจ้าหน้าที่เรียกตนเข้าไป ทำให้ตนได้ดำเนินคดีนายฮอต
ส่วนการถ่ายรูปกับนักการเมือง ข้าราชการคนดังนั้น ยอมรับว่า เราทำงานกับหน่วยงานรัฐ ในเรื่องการปฏิรูปการศึกษา จึงมีรูปกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสมัยนั้นคือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ยืนยันไม่มีเรื่องเงินเรื่องทอง เพราะเราไปทำเรื่องของการศึกษาให้กับเยาวชนเท่านั้น
ส่วนถ่ายรูปกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากตนและนายฮอต ไปยื่นหนังสือเพื่อขอปฏิรูปการศึกษาที่หัวหิน นายฮอตอ้ างว่าได้นัดหมายกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งไม่จริง เป็นการไปดักพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เฉยๆ และขอถ่ายรูป
ส่วนกระแสโจมตีว่า ตนคัดเลือกคนมาทำงานไม่ดี ยืนยันเราตรวจได้แต่หลักฐานเชิงประจักษ์ แต่สามัญสำนึกหรือ ติดใต้สำนึกเราตรวจไม่ได้เพราะฉะนั้นคนที่ตั้งใจเข้ามาหลอกเอาผลประโยชน์จากเรามันต้องเห็นก่อนการกระทำเราถึงจะรู้และเราถึงจัดการเขาได้ เราโชคดีที่ว่าในส่วนของเงินในองค์กรไม่เสียหาย แต่ทำลายภาครัฐเสียหาย ทำลายความเชื่อมั่นขององค์กร
นายพชรพรรษ์ กล่าวอีกด้วยว่า พ่อแม่ของนายฮอต ทำงานค้าขายทั่วไป ส่วนนามสกุลเขาก็ไม่ใช่ สิง... เขานามสกุลอื่นมาก่อน แต่ไม่รู้ไปให้ใครเซ็นรับรองเพื่อเปลี่ยนเป็นนามสกุล สิง.... นามสกุลดูดี เพราะเขาอยากเป็นคนใหญ่คนโต มีคอนเนคชั่น เพื่ออสร้างความน่าเชื่อถือกับตนเอง จริงๆเขาอาจจะไม่น่ากลัวก็ได้ สิ่งที่เขาทำอย่างเดียวคือ เขาอยากได้ผู้หญิง ทำผู้หญิงท้องด้วย แต่ผู้หญิงยังไม่พร้อมให้ข้อมูล
ในช่วงที่อยู่ด้วยกันนั้น ตนยังไม่เห็นว่านายฮอต รู้จักคนใหญ่คนโต ส่วนใหญ่ที่เห็นคือ เขายังต้องแนะนำตัวเองกับคนอื่นอยู่เลย ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหนอย่างไรอยู่เลย รวมถึงยังเคยแอบอ้างโทรหา ผบ.ตร. ขณะนั้นต่อหน้าในที่ประชุม แต่สุดท้ายนายเวรรับ แล้วเรื่องก็เงียบ
ตั้งกรรมการสอบแล้ว แต่เนื่องจากเอกสารต่งๆ ทุกๆ 5 ปี เราจะทำลาย วันนี้ประมาณ 9 ปีจะ 10 ปีแล้ว เอกสารการเงินได้ถูกทำลายตามระบบกลไกของกฎหมายที่ระบุไว้ว่าจะต้องทำลายทุก 5 ปี อาจจะหายาก แต่สิ่งที่เรามีคือ รูปถ่ายและพฤติกรรมต่างๆที่มันเกิดขึ้นและมีผู้เสียหาย บางมหาวิทยาลัยคือผู้เสียหาย ขอให้ท่านออกมาเรียกร้องเพื่อตัวท่าน
ส่วนที่เหตุการณีที่นายฮอต กระโดดตึกนั้น นายพชรพรรษ์ ถึงกับร้อง “อุ๊ย การละคร” ตนมีเรื่องเล่า ก่อนหน้านี้นายฮอต ได้เงินจากผู้หญิงมาหนึ่งแสน บอกว่าจะเอาไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน ซื้อทัวร์แล้ว พอถึงวันจริง เขาแกล้งเป็นลม ซึ่งข้อมูลนี้ที่ยืนยันกับตนคือ รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ ไม่ได้โคม่าถึงขั้นขึ้นบินไม่ได้ มองเป็นการแกล้งป่วย
การกระโดดตึกเป็นเทคนิคซื้อเวลาหรือไม่ ไม่แน่ใจ แต่ขอยืนยันการกระทำความผิดความผิดของเขา ไม่ได้กระทำสำเร็จ เราตรวจพบเจอก่อนและไม่ได้เป็นเงินที่ได้รับจากราชการแต่เป็นเงินบริจาค
ส่วนกลัวว่านายฮอต จะเกิดการทำร้ายตัวเองอีกหรือไม่ ขอให้รักตัวเองแล้วกัน ถ้าไม่รักตัวเอง เขาจะเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต
Advertisement